วิธีการรับมือ และป้องกันเชื้อไวรัสโคโรน่า !

ไวรัสโคโรน่า

         ไวรัสโคโรน่า หรือ Covid-19 คือ เชื้อไวรัสที่มีลักษณะป็นตัวแหลม ๆ และมีขนาดค่อนข้างใหญ่ สามารถเกาะติดกับปอดได้ดีกว่าไวรัสตัวอื่น ๆ ทำให้เกิดโรคติดต่อทางเดินหายใจอักเสบ โรคปอดอักเสบติดเชื้อ รวมไปถึงปอดอักเสบรุนแรง พบได้ทั้งในคนและสัตว์  มีแหล่งกำเนิดมาจากตลาดค้าขายเนื้อสัตว์ป่า ในมณฑลอู่ฮั่น ประเทศจีน ไวรัสโคโรน่ามีหลายสายพันธุ์ ซึ่งสายพันธ์ุที่เคยระบาดรุนแรงมาก่อน ได้แก่ ไวรัสซาร์ส และไวรัสเมอร์ส ไวรัสโคโรน่าที่กำลังระบาดอยู่ในช่วงนี้ คือ สายพันธุ์ใหม่

ไวรัสโคโรน่า

สารบัญเนื้อหา

องค์การอนามัยโลก ประกาศให้เชื้อ ไวรัสโคโรน่า เป็นภาวะฉุกเฉิน!

         31 ม.ค. องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 เป็นภาวะฉุกเฉินสาธารณสุขทั่วโลก หลังยอดผู้ติดเชื้อพุ่งสูงกว่าหมื่นราย และยังพบการติดเชื้อจากคนสู่คนในสหรัฐเป็นรายแรก ส่วนฝรั่งเศส พบผู้ติดเชื้อเป็นรายที่ 5 

         สธ. แถลง พบว่ามีผู้ติดเชื้อรายแรกในไทย เป็นคนขับแท็กซี่ ไม่มีประวัติการเดินทางไปประเทศจีนมาก่อน จึงถือว่าเป็นผู้ติดเชื้อรายแรกของไทย ที่พบเชื้อจากการแพร่ระบาดจากคนสู่คน โดยติดเชื้อมาจากผู้โดยสาร ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน  

         2 ก.พ. พบผู้เสียชีวิตรายแรกนอกประเทศจีนแล้ว หลังกระทรวงสาธารณะสุขของประเทศฟิลิปปินส์ ยืนยันว่าชายชาวจีนวัย 44 ปี เดินทางมาจากเมืออู่ฮั่นเสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโคโรน่า

         แม้ว่าความเสี่ยงที่คนไทยจะติดเชื้อไวรัสโคโรน่าจะอยู่ในระดับต่ำ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสติดเลย เพราะฉะนั้นเราต้องดูแลและป้องกันตัวเองอยู่เสมอ    

ลักษณะอาการของการติดเชื้อ ไวรัสโคโรน่า

         โดยปกติแล้ว หากได้รับเชื้อไวรัสโคโรน่า จะใช้ระยะเวลาในการฟักตัว 1 – 2 สัปดาห์ มีอาการคล้ายกับไข้หวัดทั่วไป สามารถสังเกตอาการได้ ดังนี้

    • น้ำมูกไหล มีไข้สูง เจ็บคอ
    • มีอาการตามทางเดินหายใจ เช่น ไอ จาม
    • เหนื่อยหอบ หายใจลำบาก
    • เจ็บหน้าอก ปวดเมื่อยเนื้อตัว

        อาการโควิด รุนแรงที่พบคือ อาการปอดอักเสบทำให้เสียชีวิต ซึ่งอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 3 % จากผู้ติดเชื้อทั้งหมด ซึ่งต่างจากโรคซาร์สที่มีอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 10% และโรคเมอร์สที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 30% จากข้อมูลนี้ จะเห็นได้ว่าเชื้อไวรัสโคโรน่า มีอาการรุนแรงน้อยกว่าจากไวรัสตระกูลเดียวกัน ที่เคยระบาดมาก่อน แต่ด้วยความรุนแรงที่น้อยกว่า ทำให้แพร่ระบาดได้ง่าย ตามหลักโรคระบาดทั่วไป ทำให้ผู้ป่วยที่ติดเชื้อ สามารถเดินทางไปได้ไกล และเชื้อยังสามารถแพร่ได้ในระยะฟักตัว โดยที่ผู้ป่วยไม่แสดงอาการป่วยใด ๆ ออกมาเลย ทำให้ผู้อื่นที่ติดเชื้อไม่รู้ตัว เชื้อจึงสามารถแพร่กระจายทั่วโลก

จากการเปรียบเทียบระหว่างไวรัสโคโรน่า กับซาร์สและเมอร์สแล้ว Dr.Anthony Fauci ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อ สหรัฐอเมริกา (National Institute of Allergy and Infectious Diseases) ให้ข้อมูลว่า ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 นี้รุนแรงน้อยกว่าซาร์สและเมอร์ส 

สินค้า COVID ลดราคา สั่งซื้อผ่านไลน์ คลิก

ไวรัสโคโรน่า ติดต่อได้อย่างไร

         ไวรัสโคโรน่า สามารถติดต่อได้จากคนสู่คน ผ่านจากการสัมผัสสารคัดหลั่ง เช่น น้ำมูก น้ำลาย จากการไอ จาม  ซึ่งการเดินสวนกันกับผู้ป่วยไม่ทำให้เราติดเชื้อไวรัสอย่างที่หลาย ๆ คนเข้าใจกัน เว้นแต่ว่ามีการพูดคุยใกล้ชิดกับผู้ป่วย ซึ่งทำให้มีโอกาสติดเชื้อไวรัสได้

         ตามปกติของเชื้อไวรัสโคโรน่าอื่น จะทนอยู่ในสภาพแวดล้อมได้ไม่นาน บางตัวอยู่ได้ 8 – 10 ชม. ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมบริเวณนั้น หากผู้ป่วยไอจาม แล้วละอองน้ำลาย น้ำมูก กระเด็นไปโดนลูกบิด หรือราวบันได แล้วเราไปสัมผัสต่อและนำมือนั้นมาสัมผัสจมูก ปาก ก็เสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสได้  

         ไวรัสโคโรน่าไม่ติดต่อทางตา ยกเว้นกรณีร้ายแรงที่สุด คือ โดนถ่มน้ำลายใส่ตาเท่านั้นถึงจะติดต่อ ซึ่งโอกาสที่จะติดทางตานั้นเป็นไปไม่ได้เลย

ใครบ้างที่เสี่ยงติดเชื้อ ไวรัสโคโรน่า

         เชื้อไวรัสโคโรน่า สามารถติดต่อได้จากคนสู่คน และสามารถติดต่อได้ในคนทั่วไป แต่ในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ จะมีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป เนื่องมาจากร่างกายมีการสร้าง antibody ช้า รวมไปถึงผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ซึ่งผู้ป่วยเหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้ง่าย และหากติดเชื้อไวรัสโคโรน่าแล้ว มีแนวโน้มที่อาการรุนแรงกว่าคนทั่วไป

บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้เท่านั้น ทางบริษัทไม่สามารถให้คำปรึกษาเป็นรายบุคคลได้ หากท่านมีความกังวล และต้องการคำปรึกษาเพิ่มเติม แนะนำให้พบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย

วิธีป้องกันตัวเองจากเชื้อ ไวรัสโคโรน่า

         1.เลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน

         2.ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำสบู่

         หมั่นล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำอุ่นและสบู่ โดยถูสบู่จนเข้าเนื้อเป็นเวลา 20 – 30 วินาที  จากนั้น จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด และควรล้างมือก่อนรับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำ และเมื่อกลับมาจากข้างนอก ให้ล้างมือทุกครั้ง เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ

         ขั้นตอนการล้างมือให้ถูกวิธี

ขั้นตอนการล้างมือ

         3.ห้ามใช้มือสัมผัสหน้า ขยี้ตา จมูกหรือปาก

         เนื่องจากเวลาที่เราออกไปข้างนอก เราอาจไปสัมผัสโดนสารคัดหลั่งจากผู้ป่วยเชื้อไวรัสโคโรน่า โดยที่ไม่รู้ตัว เช่น จับลูกบิด ราวบันได ที่อาจทำให้เชื้อไวรัสติดตามมือเรามา หากต้องสัมผัสใบหน้า ให้ล้างมือให้สะอาดก่อนเสมอ หรือเช็ดด้วยแอลกอฮอล์ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ 

         แอลกอฮอล์ล้างมือที่มีประสิทธิภาพ ควรมีแอลกอฮอล์อยู่ที่ 70 – 90% จึงจะสามารถฆ่าเชื้อโรคได้ ส่วนแอลกอฮอล์ 95 – 100% มีการระเหยที่เร็ว ทำให้ไม่สามารถดูดซึมไปในเซลล์เมมเบรน และเกิดการคายน้ำ ออกจากเซลล์อย่างรวดเร็ว ทำให้ไม่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้

         4.เลี่ยงการอยู่ใกล้ผู้ป่วย หรือผู้ที่มีอาการไอจาม

         การไอ จาม เป็นอาการพื้นฐานของผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโคโรน่า และการ ไอ จาม ยังเป็นการปล่อยเชื้อ ซึ่งหากน้ำลายหรือน้ำมูกกระเด็นมาโดนเรา อาจทำให้ติดเชื้อได้ ให้รักษาระยะห่างจากผู้ที่มีอาการผิดปกติ เพื่อเป็นการป้องกัน และลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ

         5.ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ ผ้าเช็ดตัว

         6.ทานอาหารปรุงสุกแล้ว ใช้ช้อนกลาง งดทานอาหารดิบ และเนื้อสัตว์ป่า

         7.สวมหน้ากากอนามัย เมื่อออกไปที่สาธารณะ

วิธีสวมหน้ากากอนามัยที่ถูกต้อง

         การสวมหน้ากากอนามัย หากสวมไม่ถูกต้อง นอกจากจะไม่ช่วยป้องกันเชื้อไวรัสแล้ว ยังเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้ง่ายขึ้นอีกด้วย โดยวิธีการสวมหน้ากากอนามัยที่ถูกต้อง มีดังนี้  

  • หันด้านที่มีสีออก เนื่องจากด้านที่ไม่มีสี จะสามารถกักเก็บน้ำลาย จากการไอจาม ได้ดีกว่าป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น หากเป็นหน้ากากอนามัยแบบไม่มีสี ให้สังเกตที่รอยพับโดยสวมให้รอยพับคว่ำลง โดยด้านที่มีลวดอยู่ข้างบน
  • นำสายรัดคล้องหูทั้งสองข้าง และใส่หน้ากากอนามัยให้ปิดถึงใต้ตา
  • กดลวดให้แนบกับจมูก
  • ดึงหน้ากากอนามัยให้คลุมลงมาถึงใต้คาง

วิธีใส่หน้ากากอนามัย

          หลังจากใช้หน้ากากอนามัยแล้วให้ทิ้งถังขยะห้ามนำกลับมาใส่ซ้ำ และล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังถอดหน้ากากอนามัย

หากมีอาการทางระบบทางเดินหายใจ ให้รีบไปพบแพทย์โดยด่วน

หน้ากากแบบไหนป้องกัน ไวรัสโคโรน่า ได้ 

         หน้ากากที่แนะนำ คือ หน้ากากอนามัย (surgical mask) เพราะมีตัวกันของเหลว สำหรับกันละอองน้ำลาย และเสมหะจากการไอ จาม ที่สำคัญสวมใส่ง่าย หายใจสะดวก ส่วนหน้ากาก N95 แม้จะมีประสิทธิภาพการป้องกันที่สูงกว่า แต่ใส่แล้วหายใจลำบาก (ถ้าใส่แล้วหายใจสะดวกแปลว่าใส่ไม่ถูกวิธี) ทำให้ต้องหายใจแรง ๆ มีโอกาสรับเชื้อได้

หน้ากากอนามัย

         แต่ในปัจจุบันหน้ากาก surgical mask หาซื้อได้ยากและมีราคาสูงมาก ไม่ต้องกังวลใจไปค่ะ เราสามารถใช้หน้ากากผ้าเพื่อป้องกันโควิด-19 ได้เช่นกัน โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ชี้แจงว่า หน้ากากผ้าสามารถป้องกันไวรัสโควิด-19 ได้จริง และแนะนำให้เป็นทางเลือกสำหรับประชาชนที่ไม่ป่วย และมีความเสี่ยงของการติดเชื้อน้อยกว่าบุคลากรทางการแพทย์ แต่ทั้งนี้ผ้าที่ใช้นั้น จะต้องมีคุณสมบัติที่สามารถป้องกันไวรัสได้

ไวรัสโคโรน่า
ไวรัสโคโรน่า

สรุป

         ถึงแม้ว่าไวรัสโคโรน่า จะไม่รุนแรงเท่ากับโรคซาร์สและโรคเมอร์ส ที่เคยระบาดมาก่อน แต่ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจเพียง เพราะอัตราการเสียชีวิตต่ำ อีกทั้งไวรัสไม่แสดงอาการใน 14 วันทำให้เราไม่อาจรู้ได้เลยว่า ใครติดเชื้อไวรัส ดังนั้นอย่าลืมดูแลตัวเอง และป้องเชื้อไวรัสตามข้องปฏิบัติข้างต้น เพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเอง

         และเมื่อวันที่ 2 ก.พ. 63 นพ.เกรียงศักดิ์ อติพรวณิช นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ และ รศ.นพ.สืบสาย คงแสงดาวจากโรงพยาบาลราชวิถี  ได้รายงานผลการทดลองรักษาพยาบาลผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโคโรน่า ที่มีอาการรุนแรง โดยให้ยาต้านไวรัสเอดส์ และยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ร่วมกัน ปรากฏว่าผลดีขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง เชื้อจากที่เป็นบวก 10 วัน กลายเป็นลบและคนไข้มีอาการดีขึ้นตามลำดับ ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดีในการรักษา

 

BED & MATTRESS PRODUCT

 

 

 

 

 

 

 

 

ใบอนุญาตโฆษณาเลขที่ ฆพ.816/2563 *อ่านคำเตือนในฉลากและเอกสารกำกับเครื่องมือแพทย์ก่อนใช้

จัดจำหน่าย บริษัท ฟาร์ ทริลเลียน จำกัด 73,75 ซอยจรัญสนิทวงศ์ 89/2 ถนนจรัญสนิทวงศ์ แขวงบางอ้อ เขตบางพลัด กรุงเทพฯ10700

ใส่ความเห็น

Website ของเรามีการเก็บ cookies เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งาน ... อ่านเพิ่มเติม นโยบายคุกกี้

Close Popup