ด่วน! โอไมครอน โควิดสายพันธุ์ใหม่ แพทย์แจง ATK / PCR บางชนิดอาจตรวจไม่พบ!!

บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้เท่านั้น ทางบริษัทไม่สามารถให้คำปรึกษาเป็นรายบุคคลได้ หากท่านมีความกังวล และต้องการคำปรึกษาเพิ่มเติม แนะนำให้พบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย

         ยังไม่ทันกลับมาเที่ยวได้อย่างสบายใจ โควิดสายพันธุ์ใหม่ “โอไมครอน” จากแอฟริกาใต้ ก็เตรียมพร้อมเล่นงานอีกแล้ว! โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้จัดกลุ่มให้โอไมครอน อยู่ในกลุ่มสายพันธุ์ที่น่ากังวล (VOC) ตัวที่ 5 ต่อจากสายพันธุ์อัลฟ่า เบต้า แกมม่า และเดลต้า ซึ่งตอนนี้หลายประเทศเริ่มพบผู้ติดเชื้อแล้ว รีบมาทำความรู้จักเชื้อกลายพันธุ์ตัวนี้ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ค่ะ

สารบัญ

• ทำความรู้จัก โอไมครอน อาการรุนแรงแค่ไหน?
• โอไมครอน น่ากลัวแค่ไหน? ร้ายแรงกว่าสายพันธุ์อื่นหรือเปล่า?
• ปีใหม่นี้ปลอดภัยทั้งผู้ให้และผู้รับ ด้วยเซตของขวัญปีใหม่ ส่งต่อความห่วงใยให้กับคนที่คุณรัก

ปัจจุบันในประเทศไทย (7 ม.ค.65) พบผู้ป่วยติดเชื้อโอไมครอน 2,338 ราย คาดการณ์ว่าจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ

ทำความรู้จัก โอไมครอน อาการรุนแรงแค่ไหน?

         เมื่อวันที่ 26 พ.ย.64 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ยืนยันอย่างเป็นทางการว่า โอไมครอน หรือโอมิครอน (B.1.1.529) เป็นเชื้อไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ชนิดที่ 5 ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มสายพันธุ์ที่น่ากังวล (Variants of Concern : VOC) โดยค้นพบครั้งแรกที่ประเทศบอตสวานา ทวีปแอฟริกาใต้ สันนิษฐานว่าอาจเกิดมาจากคนไข้รายหนึ่งที่ไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อไวรัสโควิด-19 ในร่างกายของตัวเองได้ จนทำให้เกิดการกลายพันธุ์ขึ้น

         ดร.แองเจลีก โคเอตซี (Angelique Coetzee) แพทย์หญิงและประธานสมาคมการแพทย์แห่งแอฟริกาใต้ (SAMA) ได้กล่าวว่า เขาได้พบผู้ป่วยโควิด-19 ที่เป็นสายพันธุ์โอไมครอนกว่า 20 ราย แต่ ณ ปัจจุบัน (พฤศจิกายน 64) ทุกรายยังไม่พบอาการที่รุนแรง ไม่มีผู้ป่วยรายใดที่สูญเสียการรับรสหรือได้กลิ่น พบเพียงอาการโควิดทั่วไปเท่านั้น ซึ่งพอจะสรุปอาการที่เขาพบได้คร่าว ๆ ดังนี้

อาการโควิดสายพันธุ์โอไมครอนที่อาจพบ

• มีไข้สูง
• ไอเล็กน้อย ไอแห้งร่วมกับเจ็บคอ
• เจ็บปวดกล้ามเนื้อและเมื่อยล้าอย่างรุนแรง
• อัตราการเต้นของหัวใจสูง
• ยังรับกลิ่นและรสได้ตามปกติ
• เหงื่อออกมากตอนกลางคืน

         อย่างไรก็ตาม ดร.แองเจลีก ได้กล่าวว่า ผู้ป่วยโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน กว่าครึ่งที่เธอพบเป็นผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน อีกทั้งยังมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ดังนั้น กลุ่มคนที่เธอเป็นห่วงว่าอาจจะพบอาการร้ายแรงของสายพันธุ์โอไมครอนได้ คือ ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ เป็นต้น

โอไมครอน น่ากลัวแค่ไหน? ร้ายแรงกว่าสายพันธุ์อื่นหรือเปล่า?

         หลังจากที่ได้มีการศึกษาโควิดสายพันธุ์ใหม่ โอไมครอน พบว่า เชื้อไวรัสได้กลายพันธุ์ไปกว่า 50 ตำแหน่ง โดยเฉพาะตำแหน่งโปรตีนหนาม (Spike Gene) ที่ใช้จับกับตัวรับในเซลล์ร่างกายมนุษย์ ที่กลายพันธุ์ไปกว่า 30 ตำแหน่ง ส่งผลให้เชื้อกลายพันธุ์โอไมครอนนี้ สามารถติดได้ง่ายและเร็วมากขึ้นกว่าสายพันธุ์เดลต้า (สายพันธุ์อินเดีย) ทางองค์การอนามัยโลก (WHO) จึงได้จัดให้โควิดสายพันธุ์นี้ อยู่ในกลุ่มสายพันธุ์ที่น่ากังวล (VOC)

         กลุ่มสายพันธุ์ที่น่ากังวล หรือ Variants of Concern คือ กลุ่มของเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์ที่มีหลักฐานว่ามีลักษณะเด่นตรงตามข้อใดข้อหนึ่ง ได้แก่ แพร่เชื้อได้มากกว่าเดิม ติดเร็วขึ้น ติดเชื้อแล้วรุนแรงมากขึ้น อาการทางคลินิกเปลี่ยนไปจากเดิม หรือมีผลต่อมาตรการด้านสาธารณสุข เช่น การตรวจวินิจฉัย การป้องกันด้วยวัคซีน การรักษา เป็นต้น ซึ่งไวรัสโอไมครอน ได้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มนี้ เพราะมีหลักฐานเด่นชี้ว่าทำให้เกิดการแพร่ระบาดได้มากขึ้นนั่นเอง

         เนื่องจากไวรัสโอไมครอน เป็นโควิดสายพันธุ์ใหม่ ที่มีการกลายพันธุ์ลักษณะที่แตกต่างไปจากเดิม จึงทำให้การใช้ชุดตรวจ ATK บางชนิด อาจจะตรวจไม่พบเชื้อตัวนี้ได้ แต่การตรวจด้วยวิธีมาตรฐานอย่าง RT-PCR ยังสามารถตรวจพบ แต่อาจมีโอกาสที่เชื้อจะหลุดรอดไปได้ ซึ่งล่าสุดทางการแพทย์ ก็ได้มีการใช้เทคนิคในการตรวจด้วยวิธี RT-PCR ใหม่ เพื่อให้สามารถตรวจพบเชื้อโอไมครอนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

         นอกจากนี้ สิ่งที่น่ากังวล คือเรื่องของการป้องกันด้วยวัคซีนโควิด ซึ่งมีแนวโน้มสูงว่าวัคซีนที่มีในปัจจุบัน (พฤศจิกายน 64) อาจจะไม่สามารถป้องกันเชื้อโอไมครอนได้ แต่ทางการแพทย์ก็ได้มีการเน้นย้ำว่า การฉีดวัคซีนโควิดไว้ จะมีโอกาสสูงที่เมื่อติดเชื้อแล้ว จะเกิดความรุนแรงน้อยกว่าผู้ที่ไม่ฉีดเลย อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทผลิตวัคซีนต่าง ๆ ก็ได้เริ่มมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับไวรัสตัวนี้ เพื่อผลิตวัคซีนที่สามารถรับมือกับโอไมครอนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สรุป

         โควิดสายพันธุ์ใหม่โอไมครอน แม้จะยังพบว่าไม่รุนแรงมาก แต่ก็ต้องจับตามองและเฝ้าระวังอยู่ตลอด เพราะเราไม่รู้ว่าสถานการณ์โควิดที่ทั่วโลกกำลังประสบอยู่นี้ จะหยุดลงเมื่อไหร่ แม้จะมีมาตรการเปิดประเทศ ให้กินข้าวนอกบ้านได้ หรือกลับมาเที่ยวกันได้ตามปกติ แต่ในสถานการณ์เสี่ยงแบบนี้ การดูแลตัวเองอย่างเข้มงวดและไม่ประมาทเป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้เลยค่ะ