วัยเกษียณ เป็นวัยที่มีค่าใช้จ่ายเยอะ ไม่แพ้วัยอื่น ๆ แต่รายได้ที่มี อาจไม่เยอะเหมือนตอนทำงาน จึงทำให้ทางภาครัฐ มีนโยบายต่าง ๆ ออกมาช่วยเหลือผู้สูงอายุ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ “เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ” โดยเป็นนโยบายที่ให้ เงินผู้สูงอายุ ในทุก ๆ เดือน เพื่อช่วยเหลือในเรื่องของค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เรามาดูกันว่า ต้องทำอย่างไรถึงจะได้รับสิทธิ์นี้ จะได้เงินเท่าไหร่? แล้วในปี 68 เงินจะเข้าวันไหนบ้าง?
![]()
สารบัญ
- เงินผู้สูงอายุ เข้าวันไหนบ้าง?
- อยากได้เงินผู้สูงอายุ จะต้องทำอย่างไรบ้าง?
- เงินผู้สูงอายุ จะได้รับเดือนละเท่าไหร่?
เงินผู้สูงอายุ เข้าวันไหนบ้าง?
ผู้สูงอายุหลายคน ที่ได้รับสิทธิ์รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่า เงินผู้สูงอายุ จะเข้าวันไหนบ้าง? แต่ละเดือนทำไมถึงได้รับเงินไม่ตรงกัน จริง ๆ แล้วเกิดจากทางภาครัฐ จะจ่ายเงินผู้สูงอายุ ให้ทุกวันที่ 10 ของทุกเดือน ซึ่งถ้าวันที่ 10 ของเดือนนั้น ๆ ตรงกับวันหยุด รัฐจะเลื่อนเวลาการจ่ายเงิน เป็นก่อนวันที่ 10 ค่ะ ทำให้แต่ละเดือน จึงได้รับเงินไม่ตรงกัน ซึ่งในแต่ละปีงบประมาณ (ตุลาคม – กันยายน 68) รัฐจะจ่ายเงินให้ดังนี้ค่ะ
- เดือนมกราคม : วันศุกร์ที่ 10 มกราคม 2568
- เดือนกุมภาพันธ์ : วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568
- เดือนมีนาคม : วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม 2568
- เดือนเมษายน : วันพฤหัสบดีที่ 10 เมษายน 2568
- เดือนพฤษภาคม : วันศุกร์ที่ 9 พฤษภาคม 2568
- เดือนมิถุนายน : วันอังคารที่ 10 มิถุนายน 2568
- เดือนกรกฎาคม : วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม 2568
- เดือนสิงหาคม : วันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม 2568
- เดือนกันยายน : วันพุธที่ 10 กันยายน 2568
อยากได้ เงินผู้สูงอายุ ต้องทำอย่างไรบ้าง?
เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ คือ สวัสดิการที่ทางภาครัฐ จัดสรรขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุ ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป เพื่อเป็นเงินช่วยเหลือ และแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน เนื่องจากรายได้ จากอาชีพผู้สูงอายุที่ทำอยู่ในแต่ละเดือน อาจไม่เพียงพอต่อการใช้จ่าย
![]()
สำหรับผู้สูงอายุรายใหม่ ที่ต้องการรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุบ้าง แต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดี? ต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง? วุ่นวายหรือเปล่า? บทความนี้จะเคลียร์ให้ชัด บอกเลยค่ะว่า ไม่ยุ่งยากอย่างที่คิด แต่ก่อนอื่นเรามาดูกันว่า ผู้สูงอายุที่ได้รับสิทธิ์ รับเงินผู้สูงอายุรายใหม่ ประจำปีงบประมาณ 2568 (เปิดลงทะเบียนเดือน ต.ค.67) ต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง?
- มีสัญชาติไทย
- ต้องเป็นผู้มีอายุ 59 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป โดยนับจากวันเกิด จนถึงวันที่ 1 กันยายน 2568 กล่าวคือ จะต้องเป็นผู้สูงอายุ ที่เกิดก่อนวันที่ 2 กันยายน พ.ศ.2505 (ส่วนผู้สูงอายุที่ทะเบียนราษฎร ระบุเฉพาะปีเกิด ให้ถือว่าเกิดวันที่ 1 มกราคมของปีนั้น ๆ)
- ต้องไม่เคยได้รับสิทธิประโยชน์ จากหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ ไม่ว่าจะเป็นเงินบำนาญ บำนาญพิเศษ เบี้ยหวัด รวมถึงเงินอื่น ๆ ในลักษณะเดียวกัน เช่น ผู้สูงอายุที่อยู่ในสถานสงเคราะห์ของรัฐ หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ที่ได้รับเงินเดือน หรือผลประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่น ที่รัฐจัดให้เป็นประจำ
![]()
หากมีคุณสมบัติครบแล้ว ต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง?
- บัตรประจำตัวประชาชน ตัวจริง หรือบัตรอื่นที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐ (ที่มีรูปถ่าย)
- ทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้าน ตัวจริง และสำเนาอีก 1 ฉบับ
- สมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร ตัวจริง (ประเภทออมทรัพย์) และสำเนาอีก 1 ฉบับ
ถ้าต้องการให้ผู้อื่นมาดำเนินเรื่องแทนผู้สูงอายุ จะต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง?
- หนังสือมอบอำนาจ (ติดต่อขอรับแบบฟอร์ม ที่เจ้าหน้าที่สำนักงานที่ไปดำเนินเรื่อง)
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และทะเบียนบ้านของผู้สูงอายุ (ผู้มอบอำนาจ) และของผู้ที่มาดำเนินเรื่องแทน (ผู้ที่รับอำนาจ) อย่างละ 1 ฉบับ
*สำเนาทุกฉบับจะต้องมีการเซ็นสำเนาถูกต้อง*
เมื่อเอกสารพร้อมแล้ว ไปลงทะเบียนขอรับสิทธิ์ ได้ที่ไหน?
- ทะเบียนบ้านอยู่ในเขตกรุงเทพฯ : สำนักงานเขตที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านนั้น ๆ
- ทะเบียนบ้านอยู่ในต่างจังหวัด : องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) หรือสำนักงานเทศบาล ที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเขตนั้น ๆ
เงินผู้สูงอายุ จะได้รับเดือนละเท่าไหร่?
บางท่านอาจสงสัยว่า ทำไมผู้สูงอายุแต่ละท่าน ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุไม่เท่ากัน? ทั้งนี้เป็นมติของทางภาครัฐค่ะ ซึ่งเห็นชอบให้จ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุรายเดือน แตกต่างกันไป ในแต่ละช่วงอายุ เป็นแบบขั้นบันได ดังนี้ค่ะ
![]()
- อายุ 60 – 69 ปี จะได้รับ 600 บาท
- อายุ 70 – 79 ปี จะได้รับ 700 บาท
- อายุ 80 – 89 ปี จะได้รับ 800 บาท
- อายุ 90 ปีขึ้นไป จะได้รับ 1,000 บาท
คาดว่าตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 หรือ ต้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 เป็นต้นไป รัฐบาลมีการปรับเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุแบบขั้นบันได ดังนี้
- อายุ 60-69 ปี: จะได้รับ 700 บาท (จากเดิม 600 บาท)
- อายุ 70-79 ปี: จะได้รับ 850 บาท (จากเดิม 700 บาท)
- อายุ 80-89 ปี: จะได้รับ 1,000 บาท (จากเดิม 800 บาท)
- อายุ 90 ปีขึ้นไป: จะได้รับ 1,250 บาท (จากเดิม 1,000 บาท)
สำหรับ การรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ สามารถเลือกวิธีการขอรับได้ ดังนี้
- ขอรับเป็นเงินสด (รับด้วยตัวเอง หรือ รับผ่านคนที่ได้รับมอบอำนาจ)
- โอนเงินเข้าบัญชี (ของตัวเอง หรือ ของคนที่ได้รับมอบอำนาจ)
สรุป
เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เป็นเงินช่วยสนับสนุนรายได้ แม้จะไม่มากแต่ก็ช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายได้บ้าง และเป็นสิทธิ์ที่ผู้สูงอายุชาวไทยพึงได้รับหากมีคุณสมบัติครบถ้วน อย่าลืมไปขอรับสิทธิ์ด้วยตนเอง หรือให้ครอบครัวดำเนินเรื่องแทนได้เนื่องจากข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลง ควรตรวจสอบกับแหล่งข้อมูลทางการหรือเว็บไซต์ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อรับข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบันค่ะ