ในปัจจุบัน ปัญหาเรื่องการติดเชื้อ HIV หรือโรคเอดส์ เป็นปัญหาสำคัญหนึ่งที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ ซึ่งในประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อ HIV อยู่ประมาณ 480,000 คน และมีผู้เสียชีวิตเนื่องจากโรคเอดส์ราว 18,000 คน หรือเฉลี่ยวันละ 49 คน แสดงให้เห็นว่ามีผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจากอาการเอดส์อยู่ไม่น้อย คุณเป็นหนึ่งในผู้ที่มีความเสี่ยงหรือเปล่า!?
อาการเอดส์ และอาการ HIV แตกต่างกันอย่างไร?
หลายคนคงคุ้นหูกับคำว่าเอดส์ มากกว่าเอชไอวี (HIV) จนทำให้ใครหลายคนเข้าใจว่าอาการเอดส์กับอาการ HIV คืออย่างเดียวกัน แต่แท้จริงแล้วทั้งสอง ไม่ใช่อย่างเดียวกันและมีความแตกต่างกันค่ะ โดยโรคเอดส์คือหนึ่งในระยะอาการของผู้ที่ติดเชื้อ HIV ซึ่งการติดเชื้อ HIV นั้น ไม่จำเป็นว่าจะเป็นเอดส์เสมอไปค่ะ ซึ่งจะขออธิบายแบบนี้ค่ะ
![]()
ความแตกต่างของ HIV กับโรคเอดส์
การติดเชื้อ HIV คือการที่ร่างกายได้รับไวรัสชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า Human Immunodeficiency Virus หรือที่เรียกกันง่าย ๆ ว่าเชื้อ HIV เข้าสู่ร่างกาย โดยเมื่อเชื้อไวรัสนี้เข้าสู่ร่างกายแล้ว จะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว โดยมีทั้งหมด 3 ระยะ ถ้าไม่รีบรักษา อาจทำให้เข้าสู่ระยะสุดท้าย หรือที่เรียกว่าระยะโรคเอดส์
โรคเอดส์ (AIDS) คือ ระยะที่ผู้ที่ติดเชื้อ HIV ถูกเชื้อไวรัสทำลายเม็ดเลือดขาวและระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย จนเข้าสู่ภาวะ “ภูมิคุ้มกันบกพร่อง” ทำให้ร่างกายอ่อนแอจนไม่สามารถต้านทานโรคได้ เกิดเป็นโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น โรควัณโรคปอด มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ฯลฯ ถ้าไม่ได้รับการรักษาจะเสียชีวิตในที่สุด
ดังนั้น ผู้ที่ติดเชื้อ HIV ไม่ได้ป่วยเป็นโรคเอดส์เสมอไปนะคะ หากผู้ป่วยตรวจพบเชื้อตั้งแต่ระยะแรก แล้วได้รับการรักษาจากแพทย์ ก็จะลดความเสี่ยงหรืออาจจะไม่ป่วยเป็นโรคเอดส์เลยก็ได้ค่ะ
เชื้อ HIV ติดต่ออย่างไร?
- การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย โดยเฉพาะผู้ที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ
- การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน มักพบในผู้เสพยาเสพติด
- ติดผ่านทางบาดแผล ทั้งทางผิวหนังและช่องปาก
- ติดจากแม่สู่ลูก
โรคเอดส์ อาการเริ่มต้นเป็นอย่างไร?
แม้วิธีการการันตีว่าคุณติดเชื้อหรือไม่ติดเชื้อ HIV จะมีวิธีเดียวคือการไปพบแพทย์เพื่อตรวจเลือดวินิจฉัย แต่การสังเกตอาการก็เป็นส่วนหนึ่งที่จำเป็นจะต้องรู้ไว้เพื่อสังเกตตนเองค่ะ โดยอาการเอดส์จะแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้
1. อาการติดเชื้อ HIV เริ่มต้น (ระยะเฉียบพลัน)
![]()
ในระยะเริ่มต้นนี้ อาการ HIV จะไม่ปรากฏมากนัก เป็นระยะที่เชื้อมีการแพร่กระจายลามไปตามเนื้อเยื่อในร่างกายมากกว่าระยะอื่น ๆ ผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ มักจะเริ่มปรากฏภายใน 1 – 2 เดือนหลังจากได้รับเชื้อแล้ว โดยจะมีอาการเช่นนี้ ประมาณ 2 – 3 สัปดาห์
- มีไข้ หนาวสั่น ไอเรื้อรัง
- ปวดหัว เวียนหัว คลื่นไส้อาเจียน
- ปวดเมื่อยตามร่างกาย กล้ามเนื้ออ่อนแรง
- ผิวหนังเป็นผื่น ผิวหนังอักเสบ หรือมีรอยฟกช้ำเป็นจุด
- ต่อมน้ำเหลืองบวม โดยเฉพาะที่คอ
- น้ำหนักลด ท้องเสียเรื้อรัง
- เหงื่อออกมากผิดปกติ โดยเฉพาะในเวลากลางคืน
2. อาการติดเชื้อ HIV ระยะสงบ
มักจะไม่แสดงอาการชัดเจน หรือแทบจะไม่มีแสดงอาการป่วยเลย แต่เชื้อยังคงแฝงตัวอยู่ภายในร่างกายและยังคงทำลายระบบภูมิคุ้มกันอย่างต่อเนื่อง หากผู้ป่วยยังไม่ตรวจพบและไม่ได้รับการรักษา อาการจะค่อย ๆ พัฒนาไปเรื่อย ๆ จนเกิดการเจ็บป่วยรุนแรงมากขึ้น เช่น มีไข้ อ่อนล้าหมดแรง ท้องร่วง น้ำหนักลด ต่อมน้ำเหลืองบวม มีเชื้อราในช่องปาก เป็นงูสวัด ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาไปเรื่อย ๆ อาการจะค่อย ๆ พัฒนาเข้าสู่ระยะโรคเอดส์ในที่สุด
3. อาการเอดส์
เป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ HIV ที่มักเรียกกันว่า โรคเอดส์ ในระยะภูมิคุ้มกันจะถูกทำลายจนเสียหายอย่างหนัก ไม่สามารถต้านทานต่อเชื้อโรคใด ๆ ได้เลย ทำให้เกิดการติดเชื้อและโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมา จนทำให้เสียชีวิตได้ โดยระยะนี้จะมีอาการที่สังเกตได้ เช่น มีไข้ตลอดเวลา เหนื่อยล้า อ่อนแรง น้ำหนักลด มีเหงื่อไหลมากในตอนกลางคืน ท้องร่วงเรื้อรัง มีจุดสีขาว หรือแผลบริเวณลิ้น และปาก
อาการเอดส์ รักษาได้ไหม?
ในปัจจุบัน ยังไม่มียาหรือวิธีการรักษาใด ที่ทำให้หายขาดจากการติดเชื้อ HIV หรือการป่วยเป็นโรคเอดส์ 100% ซึ่งแนวทางการรักษาในปัจจุบันของทั้งผู้ป่วย HIV และโรคเอดส์ มีเป้าหมายเดียวกัน คือการฟื้นฟูภูมิคุ้มกันร่างกายที่บกพร่องของผู้ป่วย ให้กลับมาเป็นปกติ โดยการใช้ยาต้านไวรัส ซึ่งทำให้ร่างกายกลับมาแข็งแรงได้ใกล้เคียงกับคนปกติ แต่ผู้ป่วย จำเป็นต้องกินยาต้านไวรัสและปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องทุกวันไปตลอดชีวิต
![]()
รู้จักยา PEP และ PrEP
- ยา PEP (Post-Exposure Prophylaxis) สามารถลดโอกาสการติดเชื้อได้ 70-80% สำหรับผู้ที่สัมผัสเชื้อ HIV ภายในระยะเวลา 72 ชั่วโมง หรือไม่เกิน 3 วันเท่านั้น เช่น ผู้ที่เพิ่งรู้ว่ามีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันกับผู้ป่วย HIV ถุงยางอนามัยแตก ฯลฯ โดยจะต้องกินยาให้ครบ 28 วันอย่างเคร่งครัด
- ยา PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อประมาณ 90% สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้สัมผัสเชื้อ HIV แต่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง เช่น ไม่ใส่ถุงยางอนามัย มีคู่นอนหลายคน ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับคนอื่น ฯลฯ โดยแพทย์จะให้กินยาทุกวัน วันละ 1 เม็ดอย่างสม่ำเสมอ ควบคู่ไปกับการตรวจหาการติดเชื้อ HIV โดยแพทย์จะนัดทุก 3 เดือน หากไม่มีความเสี่ยงแล้ว แพทย์จึงจะสั่งให้หยุดยา
แม้ยา PEP และ PrEP จะช่วยป้องกันการติดเชื้อ HIV ได้ แต่ไม่ได้แปลว่าจะได้ผล 100% นะคะ ดังนั้นควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ HIV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ค่ะ
ป้องกันตนเองอย่างไรไม่ให้ติดเชื้อ HIV
- สวมใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้ง เมื่อมีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่น
- หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ
- ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับคนอื่น
- หากต้องการสักตามผิวหนัง หรือเจาะส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ต้องมั่นใจว่าสถานบริการนั้น ๆ ปลอดภัย
- ตรวจเลือดก่อนการแต่งงาน เพื่อให้มั่นใจว่าเราและคู่สมรสไม่มีการติดเชื้อ หรือเป็นโรคอื่น ๆ ที่สามารถแพร่สู่คู่สมรสได้
- รับการตรวจเลือดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
สรุป ผู้ติดเชื้อ HIV ไม่จำเป็นต้องมีอาการเอดส์
การติดเชื้อ HIV ไม่ได้ป่วยเป็นโรคเอดส์เสมอไปนะคะ ผู้ติดเชื้อ HIV หลายคน กลับมามีสุขภาพที่แข็งแรงใช้ชีวิตได้เหมือนกับคนปกติ แต่ถึงอย่างไร การป้องกันไม่ให้ป่วยเป็นเรื่องที่ดีที่สุดนะคะ เพราะปัจจุบันโรคนี้ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แถมยังต้องกินยาไปตลอดชีวิตอีก ดังนั้น ต้องหมั่นดูแลสุขภาพและป้องกันทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์นะคะ