เคยไหมคะ? ตอนกลางวัน แม้จะใช้ชีวิตได้อย่างปกติ แต่พอตกกลางคืน หัวถึงหมอนทีไร อยู่ ๆ ก็เหมือนไม่สบาย ทั้งไอ จาม น้ำมูก – น้ำตาไหล คัดจมูก หายใจไม่ออกขึ้นมาเฉย ๆ อาการเหล่านี้ คุณอาจจะเป็นโรคภูมิแพ้แล้วล่ะค่ะ ซึ่งภูมิแพ้เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ หนึ่งในสาเหตุเหล่านั้นคือ “ไรฝุ่น” ตัวการร้ายที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่ไม่ต้องกลัวไปค่ะ บทความนี้มีวิธีจัดการกับเจ้าไรฝุ่นง่าย ๆ มาฝากกันค่ะ
สารบัญ
- ไรฝุ่น เกิดจากอะไร? อันตรายแค่ไหน?
- อาการที่บ่งบอกว่าคุณกำลังแพ้ไรฝุ่น
- 7 วิธีกำจัดไรฝุ่น ช่วยลดสาเหตุการเกิดโรคภูมิแพ้
ไรฝุ่น เกิดจากอะไร? อันตรายแค่ไหน?
ไรฝุ่น (Dust Mites) เป็นแมงในตระกูลเดียวกับเห็บและแมงมุม มีขนาดเล็กมาก จนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มักอาศัยอยู่ตามฝุ่นภายในบ้าน ซึ่งสามารถอยู่ได้ทุกสภาพอากาศ แต่จะเจริญเติบโตได้ดี ในสภาพแวดล้อมอุ่นชื้น หรือที่อุณหภูมิประมาณ 25 – 30 องศาเซลเซียส โดยมักกินเซลล์ผิวหนังที่ถูกผลัดออกของมนุษย์เป็นอาหาร
ไรฝุ่น จะไม่ต่อยหรือกัดคนนะคะ ฉะนั้น บางคนที่เกิดอาการคันหรือระคายเคืองบริเวณผิวหนัง ไม่ได้เกิดจากไรฝุ่นกัด แต่เกิดจากการไปสัมผัสถูกของเสียของไรฝุ่น จนเกิดอาการคัน
เนื่องจากภายในของเสียเหล่านั้น มีสารที่สามารถก่อโรคภูมิแพ้แก่คนได้ แต่ในบางคนที่แพ้ไรฝุ่น แม้จะไม่สัมผัสถูกของเสีย แค่โดนตัวหรือซากของไรฝุ่นที่ตายไปแล้ว ก็สามารถเกิดอาการคันได้ค่ะ
นอกจากการสัมผัสแล้ว การหายใจเอาของเสีย หรือตัวของไรฝุ่นเข้าสู่ร่างกาย ก็ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้นะคะ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย จะสร้างสารภูมิต้านทานขึ้น (Antibody) เมื่อพบสิ่งแปลกปลอม ที่เข้ามาในร่างกาย โดยจะจดจำว่า ของเสีย หรือตัวไรฝุ่นเป็นสารก่อภูมิแพ้ และเมื่อเจอกับสารก่อภูมิแพ้นี้ในครั้งต่อไป ร่างกายก็จะปล่อยสารฮีสทามีน ที่ทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ต่าง ๆ ตามมา
รู้หรือไม่?! ไรฝุ่น เป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ อาศัยอยู่บนโลกมาตั้งแต่ 500 ล้านปีที่แล้ว! เนื่องจากไรฝุ่นอยู่ได้กับทุกสภาพอากาศ จึงเป็นไปได้ยากที่จะสูญพันธุ์ แต่ไม่ต้องกังวลใจ เพราะไรฝุ่นไม่ทำร้ายมนุษย์ค่ะ
อาการที่บ่งบอกว่าคุณกำลังแพ้ ไรฝุ่น
โรคภูมิแพ้ สามารถเกิดขึ้นได้จากสาเหตุหลายอย่าง เช่น ไรฝุ่น ละอองเกสรดอกไม้ เชื้อรา ขนแมว แต่ในผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ ส่วนใหญ่ มีสาเหตุมาจากไรฝุ่น ตอนนี้ หลายคนก็เริ่มสงสัยว่า ตัวเองแพ้หรือยัง? อาการแบบไหนถึงจะเรียกว่าแพ้ไรฝุ่น? สามารถสังเกตได้ดังนี้เลยค่ะ
- ไอ เจ็บหรือระคายเคืองในลำคอ มีเสมหะร่วมด้วย
- จาม น้ำมูกไหล คัดจมูก คันจมูก หรือแน่นจมูก
- คันตาบริเวณผิวหนังหรือดวงตา มีรอยแดง
- ใต้ดวงตาบวมช้ำ น้ำตาไหล
รู้หรือไม่?! ในฝุ่น 1 กรัม พบไรฝุ่นเฉลี่ย 60-80 ตัว จากสถิติพบว่า 80% ของผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ มีสาเหตุมาจากไรฝุ่นมากที่สุด
อาการแพ้ไรฝุ่น อาจเกิดอาการต่อเนื่องทั้งปี จนอาจกลายเป็นโรคจมูกอักเสบได้ เนื่องจากของเสียที่ออกมาจากตัวไรฝุ่น อาจกระจายอยู่รอบ ๆ ตัวในอากาศตลอดเวลา แม้แต่การเดินบนพรม ขยับตัวบนที่นอน นั่งบนเก้าอี้ พฤติกรรมเหล่านี้ ก็อาจก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ขึ้นมาได้อย่างฉับพลัน และหากหายใจเอาของเสียจากไรฝุ่น เข้าไปเป็นเวลานาน ๆ จะยิ่งทำให้อาการภูมิแพ้ไรฝุ่น แย่ลงเรื่อย ๆ เกิดการอักเสบเรื้อรัง จนกลายเป็นโรคหอบหืดได้ ซึ่งสามารถสังเกตอาการได้ ดังนี้
- ไอ หายใจเหนื่อยหอบ หรือหายใจลำบาก
- เจ็บหรือแน่นหน้าอก
- หายใจมีเสียงวี้ด
- อาการข้างต้นจะรุนแรงขึ้น เมื่อเจอกับฝุ่นควันรถ ควันบุหรี่ สารเคมี
หากมีอาการเหล่านี้หรือสงสัยว่าตนเองอาจจะเป็น ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้นะคะ เพราะหากอาการแย่ลง อาจเกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ แนะนำให้ไปปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุ และหาทางรักษาต่อไปค่ะ
คลิก! อ่านบทความ : เครื่องพ่นละอองยา อุปกรณ์จำเป็นในการดำเนินชีวิตสำหรับผู้ป่วยโรคหอบหืดบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้เท่านั้น ทางบริษัทไม่สามารถให้คำปรึกษาเป็นรายบุคคลได้ หากท่านมีความกังวล และต้องการคำปรึกษาเพิ่มเติม แนะนำให้พบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย
7 วิธีกำจัด ไรฝุ่น ช่วยลดสาเหตุการเกิดโรคภูมิแพ้
หลายคนอาจสงสัยว่า ไรฝุ่นเป็นสัตว์จำพวกเดียวกับแมง จะสามารถใช้ยาฆ่าแมลงต่าง ๆ กำจัดไรฝุ่นพวกนี้ได้หรือเปล่า? จริง ๆ แล้ว ยาฆ่าแมลง สามารถกำจัดไรฝุ่นได้ค่ะ แต่ไรฝุ่นมักอาศัยอยู่ตามที่นอน หากเอายาฆ่าแมลงมาฉีดใส่ที่นอน รับรองเลยว่า นอกจากไรฝุ่นจะตายแล้ว คนก็อาจจะตายด้วยค่ะ ดังนั้น ห้ามทำอย่างนั้นเด็ดขาดเลยนะคะ!
นอกจากนี้ หลายคนก็มีความเชื่อว่า การเอาที่นอนหรือฟูกมาตากแดดร้อน ๆ จะสามารถฆ่าไรฝุ่นได้ จริง ๆ ความร้อนก็สามารถฆ่าไรฝุ่นได้จริงนะคะ แต่ต้องเป็นความร้อนที่อุณหภูมิ 55 – 60 องศาเซลเซียส นานกว่า 20 นาที ซึ่งแดดแรงแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่จะสูงถึง 55 องศาเซลเซียสได้เลยค่ะ
และถึงแม้ว่าอุณหภูมิสูง 55 – 60 องศาเซลเซียสจะฆ่าไรฝุ่นได้จริง แต่ก็ไม่สามารถทำลายสารก่อภูมิแพ้ได้อยู่ดีนะคะ แต่การตากแดด ก็มีข้อดีคือ ช่วยไล่ความอับชื้นในที่นอนให้ลดลง อีกทั้ง ถ้าตากแดดนานติดต่อกัน 5 ชั่วโมง จะทำให้ไข่ไรฝุ่นไม่ฟักตัวค่ะ
เป็นเรื่องยากนะคะ ที่จะกำจัดไรฝุ่นให้หมดไปจากบ้าน แม้ว่าจะทำความสะอาดบ้านบ่อยครั้งแค่ไหน ก็ไม่สามารถกำจัดไรฝุ่นเหล่านี้ได้ทั้งหมด แต่ถึงอย่างนั้น การลดจำนวนไรฝุ่นในบ้านลง ก็ช่วยลดอาการของโรคภูมิแพ้ได้นะคะ บทความนี้ มีวิธีกำจัดไรฝุ่นให้ลดลงง่าย ๆ มาฝากกันค่ะ
1.ควรซักทำความสะอาดผ้าปูที่นอน ปอกหมอน ผ้าห่ม หรือแม้แต่ตุ๊กตาบนที่นอน เป็นประจำทุกสัปดาห์ หากเป็นไปได้ ควรซักด้วยน้ำร้อน หรือปั่นแห้งด้วยความร้อน จะช่วยกำจัดของเสีย และตัวไรฝุ่นออกไปได้เยอะเลยค่ะ
2.นำเครื่องนอนต่าง ๆ ออกไปผึ่งแดด อย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง เพื่อลดความชื้นในที่นอน และลดอัตราการฝักไข่ของไรฝุ่น
3.ใช้ปลอกหมอน และผ้าปูที่นอนที่สามารถป้องกันไรฝุ่นได้ ช่วยทำให้ไรฝุ่นเกิดการสะสมตัวน้อยลงได้
4.ทำความสะอาด และจัดระเบียบบ้านให้มีความเรียบร้อย โดยเฉพาะสิ่งของในห้องนอน เช่น หนังสือ ของประดับตกแต่ง เนื่องจากอาจเป็นแหล่งสะสมของไรฝุ่น ซึ่งอาจสูดดมเข้าไป ในขณะนอนหลับได้
5.หมั่นทำความสะอาดผ้าม่าน และพรม เนื่องจากเป็นแหล่งอาศัยยอดฮิตของไรฝุ่น โดยเฉพาะพรมที่อยู่บนพื้นปูน ก็จะยิ่งเกิดความชื้นได้ง่าย ถ้าเป็นไปได้ควรเปลี่ยนพื้นห้องนอนเป็นกระเบื้อง ไม้ เสื่อน้ำมัน แทนการใช้พรม
6.ทำความสะอาดเครื่องเรือนที่บุนวม ด้วยการดูดฝุ่นเป็นประจำ ควรใช้เครื่องดูดฝุ่น ที่มีสามารถกรองอนุภาคขนาดเล็กได้ ระหว่างดูดฝุ่น ควรใส่หน้ากากอนามัยป้องกันการสูดไรฝุ่นเข้าร่างกาย และควรทำความสะอาดพื้น ด้วยการใช้ผ้าชุบน้ำถูพื้น ไม่ควรใช้วิธีดูดฝุ่น หรือกวาดเพียงอย่างเดียว เพราะอาจทำให้ไรฝุ่นฟุ้งขึ้นมาได้
7.หากเป็นไปได้ ก็ควรติดตั้งแผ่นกรองคุณภาพสูงในเครื่องปรับอากาศ และควรต้องเปลี่ยนแผ่นกรองเป็นประจำทุก ๆ 3 เดือน
สรุป
แม้เราจะไม่สามารถมองเห็นไรฝุ่นได้ด้วยตาเปล่า แต่การที่มองไม่เห็น ไม่ได้แปลว่าไม่มีนะคะ ถ้าไม่อยากเป็นโรคภูมิแพ้ ก็ต้องป้องกันไว้ก่อน เพราะถ้าเป็นโรคนี้แล้ว คงจะรู้สึกหงุดหงิด ไม่สบายตัว ซ้ำร้ายหากปล่อยไว้ อาจทำให้เกิดโรคที่ร้ายแรงอื่น ๆ ตามมาอีกได้ ดังนั้น หันมาป้องกัน และลดความเสี่ยงไรฝุ่น เพื่อทำให้การนอนหลับพักผ่อนบนเตียง เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขกันนะคะ