Climate Change คือ บ่อเกิดแห่งหายนะ นักวิทย์ฯ เตือน! เราอาจเหลือเวลาฟื้นฟูโลกไม่ถึง 3 ปี!!!

climate change คือ

         ในช่วงต้นเดือนเมษายน’65 ที่ผ่านมา แฮชแท็ก #scientistprotest และ #LetTheEarthBreath ทะยานขึ้นเทรนด์โลกในทวิตเตอร์ เนื่องจากนักวิทยาศาสตร์จากองค์การนาซา (NASA) ออกมาเตือนเกี่ยวกับผลกระทบของ Climate Change ในขณะที่ประเทศไทยเอง ก็กำลังงุนงงกับสภาพอากาศหนาวที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายน จนพากันติดแฮชแท็ก #เมษาหน้าหนาว เหตุการณ์เหล่านี้ร้ายแรงยังไง? แล้ว Climate Change คือ อะไร? มาหาคำตอบกันค่ะ

climate change คือ
climate change คือ

ภาพการประท้วงของนักวิทยาศาสตร์ที่ต่อต้านการตั้งโรงงานเชื้อเพลิงฟอสซิล เป็นผลให้ถูกรัฐบาลจับกุม สร้างความไม่พอใจให้ประชาชน

สารบัญ

Climate Change คือ อะไร? เกิดขึ้นจากสาเหตุใด?

         Climate Change คือ วิกฤติการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเฉลี่ยของพื้นที่นั้น ๆ ทั้งเรื่องของอุณหภูมิ ความชื้น ฝน ลม ฯลฯ ซึ่งแปรปรวนแตกต่างไปจากเดิม อันเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน (Global Warming) ซึ่งมีต้นตอมาจากการกระทำของมนุษย์ ที่ทำให้เกิดปริมาณก๊าซเรือนกระจกเพิ่มมากขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น ส่งผลให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นจนเกิดภาวะโลกร้อนขึ้นมานั่นเอง

climate change คือ

         Climate Change จะเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศให้แปรปรวนจนตามมาด้วยภัยพิบัติต่าง ๆ มีตั้งแต่ก่อให้เกิดภัยแล้งที่รุนแรง ไปจนถึงสร้างพายุหิมะที่พัดถล่มเมืองทั้งเมืองให้ราบเป็นหน้ากลองได้ ซึ่งหากปล่อยไว้โดยไม่หาทางแก้ไข ภาวะ Climate Change จะค่อย ๆ ทวีความรุนแรงขึ้น จนมนุษย์ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ เนื่องจากไม่สามารถปรับตัวให้เข้าการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่ผิดปกติ รวมทั้งรับมือกับภัยพิบัติที่รุนแรงได้

สาเหตุที่ก่อให้เกิด Climate Change

  • การเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ได้เพิ่มความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกมากกว่าวิธีการอื่นถึง 80 เปอร์เซ็นต์
  • ปศุสัตว์ ก่อให้เกิดก๊าซมีเทนที่เป็นส่วนหนึ่งของก๊าซเรือนกระจกให้มากขึ้น เช่น เกิดก๊าซจากมูลของวัวและควาย การย่อยสลายของซากสิ่งมีชีวิต การย่อยสลายอินทรีย์วัตถุในดิน เป็นต้น
  • เกษตรกรรม โดยเฉพาะการเผาป่าเพื่อการเพาะปลูก หรือขยายพื้นที่อุตสาหกรรม
  • การตัดไม้ทำลายป่า ทำให้สูญเสียความสมดุลทางธรรมชาติ
  • โรงงานอุตสาหกรรมที่มีกระบวนการสร้างมลพิษหรือพลังงานที่ไม่ดี เช่น อุตสาหกรรมพลาสติก เคมี การทำวัตถุระเบิด เป็นต้น
  • สารจากเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น สารหล่อเย็นในตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ สารดับเพลิง สารขับดันในเครื่องกระป๋องที่เป็นสเปรย์
  • การคมนาคมต่าง ๆ ที่เผาผลาญเชื้อเพลิงและสร้างมลพิษ เช่น รถยนต์ รถเมล์ รถมอเตอร์ไซค์

climate crisis

         นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม ปีเตอร์ คาลมุส นักวิทยาศาตร์จากองค์การนาซา (NASA) ถึงได้ออกมาประท้วงต่อนายทุนและรัฐบาล ให้หยุดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและพลังงานไม่ดี เพราะโลกกำลังแย่ลงเรื่อย ๆ สังเกตได้จากภัยพิบัติต่าง ๆ ที่โลกกำลังเผชิญในตอนนี้ ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะ Climate Change และเขายังบอกไว้อีกว่า ในตอนนี้ เราเหลือเวลาที่จะฟื้นฟูโลกให้กลับมาปกติได้ไม่ถึง 3 – 5 ปีเท่านั้น

 “มนุษย์” คือสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ทั้งหมด แม้ภัยธรรมชาติจะส่งผลกระทบอยู่แล้ว แต่ความเสียหายหลักก็ยังคงมาจากการกระทำของมนุษย์

Climate Change คือ หายนะ ที่เราเพิกเฉยไม่ได้!

         หลายคนอาจจะคิดว่าการเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศคงเป็นเรื่องปกติ ดูไม่ได้ร้ายแรงอะไรมากนัก อากาศที่หนาวในหน้าร้อนก็ไม่ได้แย่ หรืออากาศร้อนในช่วงที่หนาวก็ทำให้ไม่ต้องเสียเงินซื้อเสื้อกันหนาว ต้องบอกเลยว่า แค่อากาศเปลี่ยนร้อน ๆ หนาว ๆ ฝนตกไม่ตรงฤดู สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงแค่สัญญาณเริ่มต้นของหายนะ ที่กำลังรอเราอยู่ข้างหน้าค่ะ

น้ำทะเลท่วมสูง

ถ้าเราปล่อยให้ Climate Change เกิดขึ้นจะส่งผลอย่างไร?

  • น้ำทะเลมีอุณหภูมิสูงขึ้น ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตใต้ทะเล แหล่งการประมงจะเปลี่ยนไป เกิดพายุที่รุนแรงตามมา ในที่สุดน้ำทะเลจะแปรสภาพกลายเป็นกรด จนไม่มีสิ่งมีชีวิตได้อาศัยหรือใช้ประโยชน์ได้
  • ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นจากการละลายของมวลน้ำแข็ง เกิดการรุกล้ำของน้ำตามแนวชายฝั่ง พื้นที่เพาะปลูกและอยู่อาศัยจะลดลง ทำให้ผู้คนที่อยู่ตามชายฝั่งได้รับผลกระทบ และยังเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมหนักด้วย
  • สภาพอากาศแปรปรวนจนคาดเดาไม่ได้ ฤดูกาลเปลี่ยน จึงทำการเพาะปลูกไม่ได้ มนุษย์และสัตว์จะขาดแคลนอาหาร
  • สภาพอากาศที่แปรปรวนและภัยพิบัติ จะนำมาซึ่งโรคร้ายต่าง ๆ
  • ฝนตกบ่อย แต่น้ำระเหยบ่อยขึ้น ทำให้ดินแห้งเร็วจนไม่สามารถทำการเพาะปลูกได้

climate change คือ

  • อากาศที่แห้งแล้ง จะทำให้เกิดไฟไหม้ได้ง่าย แถมการฟื้นฟูสภาพพื้นที่หลังจากเกิดไฟไหม้ก็เป็นเรื่องยาก หรือเป็นไปไม่ได้เลย
  • ที่อยู่อาศัยของสัตว์ตามธรรมชาติลดลง ไม่เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิต จนนำไปสู่การสูญพันธุ์ได้
  • เกิดการอพยพย้ายถิ่นบ่อย จากการเปลี่ยนแปลงด้านภูมิอากาศจนไม่สามารถอยู่อาศัยได้
  • สภาพอากาศร้ายแรงขึ้น เกิดภัยพิบัติบ่อยและรุนแรงขึ้น เช่น พายุ น้ำท่วม ความแห้งแล้ง ฯลฯ
  • อุณหภูมิจะสูงข้น ท้ายที่สุดจะไม่สามารถมีสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่ได้อีกต่อไป

แล้วเราสามารถทำอะไร เพื่อหยุด Climate Change ได้บ้าง?

         อย่างที่ทราบกันแล้วว่า สาเหตุหลักของวิกฤตการณ์โลกต่าง ๆ ไม่ใช่แค่ Climate Change แต่รวมไปถึงภาวะโลกร้อน ภาวะเรือนกระจก ฯลฯ ส่วนใหญ่แล้วมีสาเหตุหลักมาจากการกระทำของมนุษย์ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม แน่นอนว่า หากเราเริ่มที่ตัวเอง ช่วยกันคนละไม้คนมือในเรื่องที่เราพอจะทำได้ รับรองว่า สถานการณ์ต่าง ๆ ต้องมีแนวโน้มที่ดีในอนาคตแน่นอนค่ะ

วิธีลดโลกร้อน

เปลี่ยนพฤติกรรมเปลี่ยนโลก

  • ประหยัดไฟ เช่น ปิดไฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าเมื่อไม่ใช้งาน เลือกใช้หลอดประหยัดไฟ เลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เป็นต้น
  • เปลี่ยนพฤติกรรมการซักเสื้อผ้า หากผ้าน้อยชิ้นให้ซักมือ ใช้เครื่องซักผ้าเมื่อต้องการซักครั้งละมาก ๆ หากเป็นไปได้ควรตากผ้ากับแสงแดดธรรมชาติแทนการใช้เครื่องอบผ้า ส่วนการรีดผ้านั้นควรรีดครั้งละมาก ๆ ก่อนรีดเสร็จให้ถอดปลั๊กก่อน เพราะจะยังใช้งานความร้อนจากเตารีดต่อได้อีกกว่า 3 นาที
  • ขับรถให้น้อยลง พยายามเช็กลมยางบ่อย ๆ เพราะหากยางมีลมน้อย อาจกินน้ำมันเพิ่มขึ้น 3%
  • รีไซเคิลให้มากขึ้น เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ซื้อเติมใหม่ได้ และหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีบรรจุภัณฑ์เยอะ
  • แยกขยะ เพื่อป้องกันของที่สามารถรีไซเคิลได้ ไปปะปนในบ่อขยะกับของทั่วไ
  • ปลูกต้นไม้ เพิ่มพื้นที่สีเขียว
  • ไม่กินทิ้งกินขว้าง เพื่อลดการหมกหมมของเศษอาหารที่ก่อให้เกิดก๊าซมีเทน
  • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่รักษ์โลก

สรุป

         โลกในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะแย่ลงเรื่อย ๆ Climate Change คือ หนึ่งในสัญญาณเตือนของหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า ไม่แน่ว่า หากเรายังใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลือง ไม่ถนอมทรัพยากรธรรมชาติ สร้างมลพิษและขยะขึ้นเรื่อย ๆ เช่นนี้ โลกอาจพบจุดจบในไม่อีกกี่ปีข้างหน้าก็เป็นได้…

Website ของเรามีการเก็บ cookies เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งาน ... อ่านเพิ่มเติม นโยบายคุกกี้

Close Popup