อาการผิดปกติในผู้หญิง อย่างอารมณ์แปรปรวน หิวบ่อย น้ำหนักขึ้น ฯลฯ อาจเป็นสัญญาณเตือนอาการก่อนเมนส์มา หรือ PMS ที่เกิดมาจากระดับฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งดูคล้ายกับอาการคนท้องแรก ๆ แล้วทั้งสองอาการแตกต่างกันอย่างไร มาทำความเข้าใจกันค่ะ
อาการก่อนเมนส์มา (PMS) เป็นอย่างไร?
Premenstrual Syndrome หรือ PMS คือ อาการผิดปกติที่เกิดขึ้นก่อนมีประจำเดือน หรือที่หลาย ๆ คนนิยมเรียกว่า อาการก่อนมีประจำเดือน หรือ “อาการก่อนเมนส์มา” โดยอาการผิดปกติเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับทั้งร่างกาย อารมณ์ และพฤติกรรม ซึ่งจะเกิดขึ้นก่อนวันที่เมนส์จะมา 1-2 อาทิตย์ และจะหมดไปในช่วง 2-3 วันหลังเมนส์มา หรือในบางคนอาจเป็นยาวนาน และหายไปหลังเมนส์หมด
อาการก่อนเมนส์มา มีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ที่มาจากกระบวนการตกไข่ ซึ่งจะอยู่ในช่วง 1-2 อาทิตย์ก่อนที่เมนส์จะมา และอาจเกิดจากฮอร์โมนเซโรโทนินในสมองมีความผิดปกติ เนื่องจากความเครียด โรคซึมเศร้า การกินอาหาร และพฤติกรรมการใช้ชีวิต โดยอาการก่อนเมนส์มา สามารถแบ่งอาการได้ ดังนี้
1. อาการทางด้านร่างกาย
- เจ็บ-คัดบริเวณเต้านม
- สิวขึ้น หน้า-ตัวบวม
- ปวดหัว คลื่นไส้-อาเจียน
- ปวดหลัง ปวดกล้ามเนื้อ หรือตามข้อต่อ
- ท้องอืด ท้องผูก หรือท้องเสีย
- มีตกขาวสีน้ำตาล
- น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น (เช็กด้วย เครื่องชั่งน้ำหนักวัดไขมัน และมวลกาย)
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย บางรายอาจเป็นลม
- ชาตามปลายมือปลายเท้า
- โรคประจำตัวบางอย่างจะรุนแรงขึ้นในช่วงนี้ เช่น โรคหอบหืด ภูมิแพ้ ไขข้ออักเสบ ฯลฯ
2. อาการทางด้านอารมณ์และพฤติกรรม
- อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย ร้องไห้กับเรื่องเล็ก ๆ
- วิตกกังวล และเครียด
- ขาดสมาธิ จดจ่อได้ยาก มีอาการหลง ๆ ลืม ๆ
- อยากอาหารมากกว่าปกติ โดยเฉพาะอยากอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง
- ปลีกตัวออกจากสังคม อยากทำกิจกรรมต่าง ๆ ลดลง
- นอนไม่หลับ หรือนอนมาก-น้อยเกินไป
- รู้สึกควบคุมตัวเองไม่ได้
- มีความต้องการทางเพศสูงกว่าปกติ
PMS หรืออาการก่อนเมนส์มา สามารถพบได้ในผู้หญิงที่มีเมนส์ถึง 85% โดยอาการจะไม่รุนแรงหรือรุนแรงน้อย แต่ในบางคนอาจมีอาการรุนแรงมาก จนพัฒนาไปเป็นอาการ PMDD (Premenstrual Dysphoric Disorder) ซึ่งก็คืออาการผิดปกติก่อนเมนส์มาเหมือนกับ PMS แต่จัดอยู่ในกลุ่มที่รุนแรงกว่า แต่พบได้น้อย 2-10% ในผู้ที่มีประจำเดือนเท่านั้น
โดยอาการ PMDD จะคล้ายกับ PMS ดังที่กล่าวข้างต้น แต่จะรุนแรงกว่า เช่น หงุดหงิดโมโหร้าย ซึมเศร้าสิ้นหวัง รู้สึกอยากทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตาย ซึ่งอาการ PMDD มักจะรุนแรงมากจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน จึงนับว่าเป็นอาการอันตรายที่ควรได้รับการรักษาจากแพทย์ทันที
หากพบว่ามีอาการรุนแรง หรือรู้สึกว่า PMS กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
อาการก่อนเมนส์มา แตกต่างกับอาการท้องอย่างไร?
เป็นเรื่องที่สาว ๆ หลายคนกังวลมาก เพราะเจ้าอาการก่อนเมนส์มา หรืออาการ PMS นั้น ดันคล้ายคลึงกับอาการของคนที่ตั้งท้องในช่วงแรก จนพาลทำให้กังวลไปว่า อาการผิดปกติที่พบนั้น จริง ๆ แล้วแค่กำลังจะเป็นเมนส์ หรือกำลังตั้งท้องกันแน่ ซึ่งหากจะให้แยกความแตกต่างระหว่างคนที่กำลังจะเป็นเมนส์กับคนที่กำลังตั้งท้องนั้น ต้องบอกเลยว่ายากค่ะ
เพราะการตั้งท้อง ร่างกายจะเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของทารก ซึ่งทำให้ระดับสารหรือฮอร์โมนในร่างกายนั้นเปลี่ยนไป จึงทำให้มีอาการคล้ายกับคนที่กำลังจะเป็นเมนส์ค่ะ แต่ก็พอจะแยกความแตกต่างได้เพียงบางอย่างเท่านั้น
อาการที่น่าสงสัยว่ากำลังตั้งท้อง
- เจ็บคัดหัวนมและเต้านม โดยสังเกตได้ว่าเต้านมมีสีที่เข้มขึ้น และดูขยายใหญ่มากขึ้น
- ปัสสาวะบ่อยและมีสีเข้มขึ้น
- รู้สึกถึงรสชาติแปลก ๆ หรือขม ๆ ในปาก ซึ่งเป็นอาการของกรดไหลย้อน (จากการตั้งท้อง)
- มีอาการปวดหัว-อาเจียนตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะเวลาได้กลิ่นบางอย่าง เช่น อาหาร น้ำหอม
- ปวดหลังมากโดยเฉพาะหลังส่วนล่าง
- อุณหภูมิร่างกายสูงกว่าปกติ
- มีตกขาวมากกว่าปกติ
- มีเลือดไหลออกมาเล็กน้อย โดยมีสีออกชมพู หรือที่เรียกว่าเลือดล้างหน้าเด็ก (พบแค่บางราย)
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ตั้งท้องอาจมีอาการเหล่านี้หรือไม่ก็ได้ แตกต่างกันไปแต่ละบุคคล ซึ่งยากที่จะแยกความแตกต่างกับอาการก่อนเมนส์มา แต่สิ่งสำคัญคือ 1-2 อาทิตย์หลังจากพบอาการ PMS หากไม่ได้ทั้งท้อง ประจำเดือนหรือเมนส์จะต้องมาตามกำหนด หรือคลาดเคลื่อนเล็กน้อย แต่หากเมนส์ไม่มาภายใน 7-14 วันหลังกำหนด และก่อนหน้านั้นได้มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ได้ป้องกัน ให้คุณสงสัยได้เลยว่าอาจจะตั้งท้อง
ตกขาวสีน้ำตาล ตกขาวสีเหลือง บอกอะไร? เรื่องเล็ก ๆ ที่ผู้หญิงไม่ควรมองข้ามวิธีที่จะแยกความแตกต่างระหว่างอาการ PMS กับการตั้งครรภ์ได้ดีที่สุด คือการใช้ที่ตรวจครรภ์ หรือเข้ารับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ เพื่อคอนเฟิร์ม
อาการ PMS แก้ได้ แค่เปลี่ยนไลฟ์สไตล์
อาการก่อนเมนส์มา หรือ PMS สร้างความน่าอึดอัดและทรมานให้กับผู้หญิงอยู่ไม่น้อยเลยค่ะ แถมอาการแบบนี้ก็วนกลับมาเป็นเกือบทุกเดือน ซึ่งเชื่อว่าไม่มีใครอยากให้อาการที่น่ากวนใจเหล่านี้เกิดขึ้นแน่นอน แต่รู้หรือไม่คะว่า อาการ PMS สามารถรับมือได้ แค่เราหันมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตค่ะ
วิธีการป้องกันการเกิดอาการก่อนเมนส์มา
- ออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น การวิ่ง การเต้น โยคะ อย่างน้อยวันละ 30 นาที เป็นประจำทุกวัน
- หลีกเลี่ยงอาหารเค็มจัดหรือหวานจัด หันมาทานอาหารที่มีกากใยสูง
- พยายามหาทางผ่อนคลาย หากเครียด กดดัน หรือรู้สึกกังวล
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 ชม.
- งดการดื่มเหล้า ชา กาแฟ และการสูบบุหรี่
- อาบน้ำอุ่นจะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย และเลือดไหลเวียนดีขึ้น
- จดบันทึกระยะเวลาและอาการ PMS ที่เคยเกิดขึ้นในแต่ละเดือน เพื่อเตรียมรับมือกับอาการเหล่านั้น
สรุป
PMS หรืออาการก่อนเมนส์มา เป็นเรื่องปกติที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ใช่โรคหรืออาการป่วยร้ายแรง แต่ก็ควรหาทางรักษาหรือบรรเทาอาการก่อนเมนส์มาเหล่านั้น เพื่อที่จะได้ลดความทรมาน และยังป้องกันไม่ให้อาการรุนแรงจนพัฒนาไปเป็น PMDD ได้ อย่างไรก็ตาม อาการก่อนเมนส์มาสามารถป้องกันได้ โดยต้องหันมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ด้วยวิธีที่บทความนี้ได้นำมาฝากนะคะ