ปวดท้องประจำเดือน อันตรายไหม? ปวดแบบไหนต้องไปหาหมอ

ปวดท้องประจำเดือน

บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้เท่านั้น ทางบริษัทไม่สามารถให้คำปรึกษาเป็นรายบุคคลได้ หากท่านมีความกังวล และต้องการคำปรึกษาเพิ่มเติม แนะนำให้พบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย

         อีกหนึ่งปัญหากวนใจที่ผู้หญิงเกือบทุกคนต้องเจอนั่นก็คือ “ปวดท้องประจำเดือน” หรือปวดท้องเมนส์ หลายคนเข้าใจว่า การปวดประจำเดือนเป็นเรื่องปกติ บางคนปวดไม่มากมีอาการเพียงเล็กน้อยจึงมักมองข้ามปัญหานี้ไป แต่รู้ไหมว่าแม้จะปวดเพียงเล็กน้อย แต่ปวดเป็นระยะเวลานานหรือแม้กระทั่งปวดท้องแบบรุนแรง  นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคร้ายที่จะตามมาได้

ปวดท้องประจำเดือน

สารบัญเนื้อหา

  1. ปวดท้องประจำเดือนคืออะไร
  2. สาเหตุของการปวดท้องประจำเดือน
  3. สีของประจำเดือนบอกอะไร
  4. วิธีบรรเทาอาการปวดประจำเดือน
  5. ปวดท้องแบบไหนต้องพบแพทย์

ปวดท้องประจำเดือนคืออะไร?

         ปวดท้องประจำเดือน คือ อาการปวดท้องน้อยในช่วงที่มีรอบเดือน โดยปกติแล้วผู้หญิงมักจะมีอาการปวดท้องประจำเดือน ปวดท้องเมนส์ ก่อนมีรอบเดือน 1-2 วัน หรือปวดระหว่างมีรอบเดือนในช่วงวันแรกๆ จะมีอาการปวดเกร็งเล็กน้อย ปวดแบบหน่วงๆ หรือรุนแรงไปจนถึงบริเวณท้องน้อย ในบางรายอาจมีอาการปวดอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ปวดหลัง ปวดแขน ปวดขา ท้องผูก ท้องอืดหรือท้องเสีย เป็นต้นปวดท้องเมนส์

สาเหตุของการปวดท้องประจำเดือน

        อาการปวดท้องประจำเดือน หรือปวดท้องเมนส์มีสาเหตุมาจากการบีบตัวของมดลูก ในช่วงที่มีประจำเดือนเยื่อบุมดลูกจะผลิตสารโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandin) ซึ่งจะเข้าไปกระตุ้นให้มดลูกมีการบีบตัวมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 1-2 วันแรกของการมีประจำเดือน        อย่างไรก็ตามอาการปวดประจำเดือนเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุด้วยกัน แบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกันดังนี้

  1. ปวดแบบปฐมภูมิ (Primary Dysmenorrhea) คืออาการปวดแบบทั่วไป โดยอาการปวดประเภทนี้พบได้บ่อยที่สุด มักมีสาเหตุมาจาก เยื่อบุโพรงมดลูกผลิตสารโพรสตาแกลนดิน มากจนเกินไป
  2. ปวดแบบทุติยะภูมิ (Secondary Dysmenorrhea) อาการปวดประเภทนี้มีสาเหตุมาจากปัญหาสุขภาพ ภาวะผิดปกติของมดลูก หรืออวัยวะสืบพันธุ์อื่นๆ ดังนี้
    • ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ เกิดจากการติดเชื้อของระบบสืบพันธุ์ในเพศหญิง มักเกิดจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยจะติดเชื้อที่มดลูก ท่อนำไข่ และรังไข่ หากไม่ได้รับการรักษาให้หายขาด จะส่งผลให้เกิดการอักเสบและมีอาการปวดท้องในขณะที่มีประจำเดือนได้
    • เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ สาเหตุเกิดจากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญนอกมดลูก แม้จะเจริญผิดที่แต่ก็ยังทำหน้าที่สร้างประจำเดือนเหมือนเดิม ซึ่งจะส่งผลให้ประจำเดือนมีสีแดงคล้ำ ทำให้มีอาการปวดท้องน้อยอย่างรุนแรง และทำให้มีบุตรยาก
    • เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญภายในกล้ามเนื้อมดลูก จะทำให้มีอาการปวดประจำเดือนอย่างมาก เนื่องมาจากมดลูกอักเสบและถูกกด ในบางรายอาจมีเลือดประจำเดือนออกมามากและมีรอบเดือนยาวนานกว่าปกติ ภาวะนี้พบได้ไม่บ่อยนัก มักพบในผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 30 ปีที่มีบุตรแล้ว
    • ปากมดลูกตีบ ภาวะนี้พบได้ไม่บ่อยนัก เกิดขึ้นจากการที่ปากมดลูกตีบแคบเกินไป ส่งผลให้เลือดประจำเดือนไหลได้ช้า ก่อให้เกิดแรงกดภายในมดลูกเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้มีอาการปวดท้องรุนแรงและเรื้อรัง
    • เนื้องอกนอกมดลูก มีขนาดตั้งแต่เล็กมาไปจนถึงขนาดใหญ่ เนื้องอกจะส่งผลให้มีประจำเดือนออกมามากกว่าปกติ หรือมีประจำเดือนกระปริบกระปรอยนานเป็นสัปดาห์ และมีอาการปวดประจำเดือนหรือปวดหลังส่วนล่างแบบเรื้อรังร่วมด้วย

ปวดท้องเมนส์

สีของประจำเดือนบอกอะไร

        ปกติแล้วสีของประจำเดือนในแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน อาจมีสีแดงคล้ำ แดงสด สีน้ำตาล หรือสีน้ำตาลเข้ม ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น จำนวนวันของการมีประจำเดือน ปริมาณประจำเดือน ความหนาของเยื่อบุโพรงมดลูก หรือภาวะตั้งครรภ์เป็นต้นปวดท้องน้อย

  • ประจำเดือนมีสีแดงสด หรือแดงคล้ำ เป็นภาวะปกติของประจำเดือนในช่วง 3 วันแรก ซึ่งจะเป็นช่วงที่มีเลือดออกมามาก และในช่วงนี้มักจะมีอาการปวดท้องร่วมด้วย
  • เลือดประจำเดือนมีสีน้ำตาลอ่อนไปจนถึงน้ำตาลเข้ม หรือมีสีน้ำตาลดำ ประจำเดือนลักษณะนี้มักพบในช่วงวันแรกหรือวันท้ายๆ ของรอบเดือน ซึ่งเกิดจากเลือดสีแดงสดถึงขังไว้ในช่องคลอดเป็นระยะเวลาหนึ่งทำให้เลือดเกิดการเปลี่ยนสี
 

Body Composition Scale รุ่น JPD-BFS200B

Original price was: 1,990฿.Current price is: 890฿.

วัดไขมันและองค์ประกอบของร่างกายได้ 14 ค่า | Bluetooth ดูค่าผ่าน App ได้ 

รหัสสินค้า: JPD-BFS200B หมวดหมู่:
อ่านเพิ่ม

สรุปแล้วสีของประจำเดือนไม่ได้บ่งบอกโรคหรือภาวะผิดปกติใดๆ ดังนั้นหากมีสีประจำเดือนผิดแปลกไปจึงไม่ต้องกังวลไปว่าจะมีอันตรายอะไร

วิธีบรรเทาอาการปวดประจำเดือน

  • อาบน้ำด้วยน้ำอุ่น
  • นวดคลึงบริเวณท้องน้อยและหลัง
  • ใช้ถุงประคบร้อนประคบบริเวณท้องน้อยและบริเวณหลัง

ปวดท้องน้อย

  • ทานยาแก้ปวด หรือทานยาต้านการอักเสบชนิดไม่มีสเตียรอยด์(NSAIDs) ควรทานเมื่อก่อนมีอาการปวด หรือมีอาการปวด ยาแก้ปวดอาจมีผลข้างเคียง ดังนั้นควรใช้เมื่อมีอาการปวดแบบรุนแรงเท่านั้น
  • พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • ลดอาหารประเภทไขมัน อาหารที่มีเกลือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มคาเฟอีน
  • รับประทานผัก ผลไม้ อาหารย่อยง่าย และมีคุณค่าทางอาหารสูง
  • ทำกิจกรรมที่ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย เช่น โยคะ นั่งสมาธิ

 

 

เปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ หรือเปลี่ยนทุกๆ 2-3 ชั่วโมง เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ

ปวดท้องแบบไหนต้องไปพบแพทย์

หลายคนมองว่าปวดท้องประจำเดือนเป็นเรื่องปกติ ปวดแป๊ปเดียวเดี๋ยวก็หาย แต่หากมีอาการเหล่านี้ อาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายที่อันตรายกว่าการปวดประจำเดือนแบบทั่วไป

  • ทานยาแล้วไม่หาย
  • ปวดบีบ และปวดนานกว่า 2-3 วัน มีอาการท้องร่วงและคลื่นไส้ร่วมด้วย
  • ปวดท้องประจำเดือนมากขึ้นเรื่อยๆ หรือรู้สึกปวดท้องน้อยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
  • มีเลือดไหลออกมามากกว่าปกติ ต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยแทบทุกชั่วโมง
  • มีเนื้อเยื่อปนออกมากับเลือด เนื้อเยื่อมีสีเทา
  • มีอาการปวดท้องน้อยแม้ไม่มีประจำเดือน
  • ติดเชื้อ เช่น คันบริเวณปากช่องคลอด เลือดประจำเดือนมีสีแปลกไปจากปกติ ตกขาวมีกลิ่น
  • มีบุตรยาก
  • อายุมากกว่า 25 ปี แต่มีอาการปวดประจำเดือนแบบรุนแรงเป็นครั้งแรก
  • มีไข้พร้อมกับปวดท้องประจำเดือน

        อาการปวดท้องประจำเดือน อาจเป็นสาเหตุของการติดเชื้อที่หากไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้เกิดแผลที่เนื้อเยื่อ ซึ่งจะไปทำลายอวัยวะภายในอุ้งเชิงกราน ทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากได้ อาจมีไข้ มีอาการปวดท้องอย่างกระทันหันหรือรู้สึกปวดท้องน้อยอย่างรุนแรง ผู้ป่วยควรรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอาการและรับการรักษา

สรุป

        อาการปวดท้องประจำเดือนในเพศหญิงโดยปกติทั่วไปมักจะมีอาการไม่รุนแรง ปวดเพียงช่วงวันแรกๆ ของการมีประจำเดือนจึงไม่ต้องกังวลไป แต่หากมีอาการปวดรุนแรง และมีอาการผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย ให้รีบพบแพทย์เพื่อได้รับการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างเหมาะสมและทันท่วงที

ใส่ความเห็น

Website ของเรามีการเก็บ cookies เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งาน ... อ่านเพิ่มเติม นโยบายคุกกี้

Close Popup