บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้เท่านั้น “ทางบริษัทไม่สามารถให้คำปรึกษาเป็นรายบุคคลได้” หากท่านมีความกังวล และต้องการคำปรึกษาเพิ่มเติม แนะนำให้พบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย
โรคซิฟิลิส คือ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากแบคทีเรีย เป็นปัญหาสุขภาพระดับหนึ่งเนื่องจากอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงหากไม่ได้รับการรักษา ในบทความนี้ เราจะสำรวจโรคซิฟิลิส อาการตั้งแต่ระยะแรกจนถึงระยะสุดท้าย โดยเราจะมาทำความเข้าใจกับอาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อนี้
สารบัญ
- ซิฟิลิส อาการเป็นอย่างไร
- โรคซิฟิลิส อาการป่วยนี้เกิดจากอะไร
- โรคซิฟิลิส เหมือนหรือต่างจาก โรคเอดส์อย่างไร
ซิฟิลิส อาการเป็นอย่างไร
ก่อนอื่นเรามาทราบกันก่อนเลยว่า หากเราเป็นโรคซิฟิลิส อาการจะเป็นอย่างไร เพื่อให้เรานั้นสามารถสังเกตุอาการเพื่อได้เข้าทำการรักษาแบบทันท่วงที และป้องกันการลุกลามของโรคซิฟิลิส อาการ เริ่มต้นแบ่งออกเป็นสามระยะก็คือ ระยะแรก ระยะที่สอง และระยะแฝง
ระยะของโรคซิฟิลิส อาการป่วยนี้
- ระยะแรก
แผลที่ไม่เจ็บปวดซึ่งเรียกว่าแผลริมอ่อนจะปรากฏขึ้นที่บริเวณที่มีการติดเชื้อ ซึ่งโดยทั่วไปคือที่อวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือปาก แผลนี้อาจไม่มีใครสังเกตเห็นหรือถูกเข้าใจผิดว่าเป็นตุ่มที่ไม่เป็นอันตราย ซึ่งนำไปสู่การวินิจฉัยและการรักษาที่ล่าช้า - ระยะที่สอง
จะเกิดขึ้นไม่กี่สัปดาห์หลังจากแผลริมอ่อนหาย อาจมีผื่นขึ้นตามร่างกาย รวมทั้งฝ่ามือและฝ่าเท้า อาการอื่น ๆ อาจมีไข้ อ่อนเพลีย ต่อมน้ำเหลืองบวม และเจ็บคอ สำหรับอาการแฝงแบบนี้จะสามารถอยู่ได้นานหลายปี ผู้ป่วยติดเชื้อจะไม่มีอาการให้เห็น อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อยังคงอยู่และสามารถพัฒนาไปสู่ระยะต่อไปได้หากไม่ได้รับการรักษา
- ระยะที่สาม
เป็นอีกหนึ่งระยะที่เกิดขึ้นเมื่อการติดเชื้อแพร่กระจายไปยังระบบประสาท สิ่งนี้สามารถนำไปสู่อาการต่าง ๆ เช่น การเคลื่อนไหวที่อาจเป็นอัมพาตได้ และภาวะสมองเสื่อม ซิฟิลิสหัวใจและหลอดเลือดเป็นอีกหนึ่งภาวะแทรกซ้อนระยะสุดท้าย ซึ่งการติดเชื้อจะส่งผลต่อหลอดเลือด อาจส่งผลให้หลอดเลือดโป่งพอง หรือปัญหาเกี่ยวกับลิ้นหัวใจ ซึ่งนำไปสู่ปัญหาหัวใจและหลอดเลือดที่ร้ายแรง
โรคซิฟิลิส อาการป่วยนี้เกิดจากอะไร
โรคซิฟิลิส มีสาเหตุหลักมาจากแบคทีเรีย Treponema pallidum ซึ่งสามารถติดเชื้อในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ ส่วนใหญ่ติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ แต่ยังสามารถติดต่อจากแม่สู่ลูกหรือผ่านการถ่ายเลือดหรือเข็มที่ปนเปื้อนซึ่งหายาก และไม่ค่อยได้พบ
รูปแบบของการแพร่เชื้อโรคซิฟิลิส และปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการแพร่กระจายของเชื้อ แบคทีเรียที่เป็นสาเหตุหลักของโรคซิฟิลิส โดยแบคทีเรียชนิดนี้จะสามารถติดเชื้อได้สูงและสามารถแพร่เชื้อได้หลายวิธี ซึ่งวิธีการแพร่เชื้อที่พบบ่อยที่สุดคือ การติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมถึงการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทางปาก หรือทางทวารหนัก ในระหว่างกิจกรรมทางเพศ
แบคทีเรียสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านรอยแยกขนาดเล็กในผิวหนังหรือเนื้อเยื่อ แต่โรคซิฟิลิสสามารถแพร่เชื้อได้แม้ว่าจะไม่มีแผลหรืออาการที่มองเห็นได้ สิ่งสำคัญที่พึงระวัง สำหรับคนที่เปลี่ยนคู่นอน ควรที่จะเข้าทำการตรวจร่างกายอยู่เป็นประจำ ก็จะส่งผลดีต่อตัวท่านเอง
รูปแบบของการแพร่เชื้อโรคซิฟิลิส อาการป่วยนี้
- ซิฟิลิสสามารถติดต่อผ่านรูปแบบต่างๆ และในกรณีที่พบไม่บ่อยจากการถ่ายเลือด หรือแผลริมแข็ง เข็มที่ปนเปื้อน การติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นวิธีการแพร่เชื้อที่พบบ่อยที่สุด เนื่องจากซิฟิลิสเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นหลัก การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันกับบุคคลที่ติดเชื้อจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นซิฟิลิส
- การแพร่เชื้อในหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคซิฟิลิสแพร่เชื้อไปยังเด็กในครรภ์ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดโรคซิฟิลิสแต่กำเนิด ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพที่รุนแรงสำหรับทารกได้
- ซิฟิลิสยังสามารถติดต่อผ่านการถ่ายเลือดที่ติดเชื้อหรือเข็มที่ปนเปื้อน
โรคซิฟิลิส เหมือนหรือต่างจาก โรคเอดส์อย่างไร
หลาย ๆ คน ยังไม่ทราบ และยังมีความสับสนว่า โรคซิฟิลิสมีความเหมือน หรือแตกต่างจากโรคเอดส์ อย่างไร ซึ่งเราได้รวบรวมความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง ซิฟิลิส และเอดส์ ที่มีรูปแบบการแพร่เชื้อและการดำเนินของโรค มาให้ได้ทราบกันค่ะ
โรคซิฟิลิส
- การติดเชื้อแบคทีเรียที่เกิดจากแบคทีเรียสไปโรเชต เทรโปเนมา พัลลิดัม
- ติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- สามารถติดต่อจากมารดาที่ติดเชื้อไปยังทารกในครรภ์ได้ในระหว่างตั้งครรภ์
- ซิฟิลิสส่วนใหญ่ติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ ได้แก่ การมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก และทางปาก
- ระยะฟักตัวของซิฟิลิสโดยทั่วไปคือ 10-90 วัน โดยอาการเริ่มต้นคือแผลหรือแผลที่ไม่เจ็บปวด หากไม่ได้รับการรักษา จะส่งผลต่ออวัยวะต่างๆ และทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้
- ซิฟิลิสสามารถวินิจฉัยได้ผ่านการทดสอบต่างๆ รวมถึงการตรวจเลือดเพื่อตรวจหาแอนติบอดีจำเพาะ การตรวจร่างกายเพื่อระบุลักษณะอาการ และการตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ของตัวอย่างจากแผลหรือแผล
- ซิฟิลิสสามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ เช่น เพนิซิลลิน
โรคเอดส์
- โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ได้มานั้นเกิดจากไวรัสภูมิคุ้มกันบกพร่องของมนุษย์ (HIV)
- ติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- สามารถติดต่อได้ทางเพศสัมพันธ์ การใช้เข็มที่ปนเปื้อนเชื้อร่วมกัน และการถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก
- โรคเอดส์คือการลดลงของระบบภูมิคุ้มกันอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อ
- โรคเอดส์ได้รับการวินิจฉัยผ่านการทดสอบแอนติบอดีต่อเชื้อเอชไอวี ซึ่งจะตรวจหาแอนติบอดีที่ผลิตโดยระบบภูมิคุ้มกันเพื่อตอบสนองต่อการติดเชื้อเอชไอวี
- โรคเอดส์ก็ไม่มีทางรักษาได้หายขาด โรคเอดส์รักษาด้วยยาต้านไวรัส (ART) สามารถจัดการการติดเชื้อเอชไอวีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ชะลอการดำเนินของโรคและปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ติดเชื้อเอดส์
สรุป
แม้ว่าโรคซิฟิลิส อาการป่วยนี้จะสามารถรักษาให้หายได้หากมีการดูแลรักษาตั้งแต่เริ่มต้น และมีการดูแลที่ถูกวิธี ไม่อย่างนั้นอาจจะมีอาการร้ายแรงได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม เราก็ควรจะมีการดูแลตัวเองตัวเองอยู่สม่ำเสมอ และหากใครที่มีการเปลี่ยนคู่นอน ก็ควรมีการเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกาย หากดูแลตัวเองได้ดี ก็จะห่างไกลโรคนี้ได้แน่นอน