บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้เท่านั้น “ทางบริษัทไม่สามารถให้คำปรึกษาเป็นรายบุคคลได้” หากท่านมีความกังวล และต้องการคำปรึกษาเพิ่มเติม แนะนำให้พบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย
สังเกตไหมว่าเวลาที่เราป่วย เป็นหวัดหรือไม่สบาย สิ่งหนึ่งที่มักเกิดขึ้นกับเราอยู่บ่อย ๆ และมักทิ้งไว้หลังจากอาการป่วยหายไปนั่นก็คือ น้ำมูกสีเขียว หรือ น้ำมูกในลักษณะต่าง ๆ ซึ่งเป็นความรำคาญใจของหลาย ๆ คน เนื่องจากต้องใช้เวลานานพอสมควรที่น้ำมูกจะหายไป ร่วมกับการมีเสมหะ และอาการไออีกด้วย แต่รู้หรือไม่ว่าน้ำมูกที่เกิดขึ้นในลักษณะต่าง ๆ นั้นนอกจากจะบ่งบอกถึงอาการป่วยที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ยังบ่งบอกได้ถึงความเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ เราเลยมีข้อมูลเกี่ยวกับสีของน้ำมูกในลักษณะต่าง ๆ มาแนะนำ เพื่อให้คุณสังเกตว่าเวลาที่มีน้ำมูกนั้นมีความผิดปกติและมีความเสี่ยงเกิดอันตรายหรือไม่ เพื่อจะได้ตรวจวินิจฉัย และเข้ารับการรักษาเบื้องต้นได้อย่างตรงจุดนั่นเอง
สารบัญ
- น้ำมูก เกิดจากอะไร ทำไมสีของน้ำมูกถึงบอกโรคได้
- เช็กสีของน้ำมูกบอกโรคอะไรบ้าง
- อาการมีน้ำมูกแบบไหนอันตราย และไม่ควรชะช่าใจปล่อยไว้นาน ๆ
น้ำมูก เกิดจากอะไร ทำไมสีของน้ำมูกถึงบอกโรคได้
น้ำมูก หรือ น้ำมูกสีเขียว เป็นสารคัดหลั่งที่ออกมาจากจมูก ซึ่งจะมีหน้าที่ป้องกันอวัยวะภายใต้เยื่อบุจมูกจากสารพิษ สารระคายเคืองต่าง ๆ โดยในน้ำมูกมีแอนติบอดีและเอนไซม์ ที่สามารถช่วยดักจับฝุ่นหรือสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ที่ปนมากับอากาศ และยังช่วยให้ความชุ่มชื้นกับเยื่อบุจมูกตลอดเวลา เพราะหากเยื่อบุจมูกแห้ง ไร้น้ำมูก อาจเสี่ยงทำให้เกิดภาวะติดเชื้อมากขึ้นได้ ดังนั้นน้ำมูกไม่ได้มีแค่ตอนเป็นหวัดเท่านั้น แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ร่างกายของเราเจอกับปัจจัยเหล่านี้ร่างกายจะมีผลิตน้ำมูกออกมาได้เช่นกัน
น้ำมูกเกิดจาก สิ่งเหล่านี้
- เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อไวรัสที่กระตุ้นให้จมูกสร้างสารคัดหลั่งขึ้นมา
- สัมผัสกับสิ่งกระตุ้นหรือสิ่งที่ทำให้ระคายเคือง เช่น ไรฝุ่น ละอองเกสร หรือขนสัตว์ เป็นต้น
- ขี้มูก เกิดจาก โรค เช่น หวัด ภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ หรือมะเร็งในโพรงจมูก หรือเกิดจากภาวะอื่น ๆ ได้อีกมากมาย
เช็กสีของน้ำมูกบอกโรคอะไรบ้าง
การตรวจดูสีของ สีน้ำมูก บอกโรค เกี่ยวกับสภาวะสุขภาพบางอย่างได้ แต่ไม่ใช่วิธีวินิจฉัยโรคที่ชัดเจน สีของน้ำมูกอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น การแพ้ การติดเชื้อ หรือการระคายเคือง ในระหว่างที่กำลังป่วย โดย สีของน้ำมูก แต่ละสีสามารถบ่งบอกโรคหรืออาการป่วยเบื้องต้นได้ดังต่อไปนี้
สีสามารถบ่งบอกโรคหรืออาการป่วยเบื้องต้นได้ดังต่อไปนี้
- น้ำมูกสีใส หรือ น้ำมูกใส โดยทั่วไปจะเป็นเรื่องปกติและบ่งบอกถึงระบบทางเดินหายใจที่ดี สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ตั้งแต่มีอาการป่วยในระยะเริ่มต้นไปจนกว่าอาการป่วยจะหายไป
- น้ำมูกสีเขียว หรือ ขี้มูกสีเหลือง อาจบ่งบอกถึงการติดเชื้อโรคในโพรงจมูกที่รุนแรงซึ่ง น้ำมูกเขียว จะมีความรุนแรงกว่าน้ำมูกเหลือง เช่น เป็นหวัดหรือไซนัสอักเสบ อย่างไรก็ตาม ไม่ได้เฉพาะเจาะจงกับโรคใด ๆ โรคหนึ่งเท่านั้น
- น้ำมูกสีน้ำตาลหรือเป็นสนิม อาจเป็นสัญญาณของเลือดเก่าและอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ รวมถึงเลือดออกทางจมูกหรือการสูบบุหรี่ได้ด้วยเช่นกัน
- น้ำมูกสีแดงหรือสีชมพู ในผู้ป่วยที่มีน้ำมูกสีนี้ เป็นสิ่งที่สามารถบ่งบอกถึงเลือดสดและอาจเป็นสัญญาณของภาวะที่ร้ายแรงยิ่งขึ้นในระหว่างที่กำลังป่วยได้ หากคุณสังเกตเห็นสิ่งนี้ แนะนำให้ไปพบแพทย์ทันที
อาการมีน้ำมูกแบบไหนอันตราย และไม่ควรชะช่าใจปล่อยไว้นาน ๆ
เมื่อพูดถึงน้ำมูกที่เกิดขึ้นในระหว่างที่ป่วยนั้น อาการบางอย่างอาจบ่งบอกถึงภาวะที่ร้ายแรงยิ่งขึ้นได้ นอกจากเราจะมีน้ำมูกสีเขียวที่เกิดขึ้นโดยปกติทั่วไป และหายไปเองเมื่ออาการป่วยหายไปแล้ว ต่อไปนี้เป็นอาการบางอย่างที่อาจบ่งบอกว่าจำเป็นต้องได้รับการดูแลจากแพทย์ทันที และไม่ควรปล่อยไว้นาน ๆ เพราะอาจเกิดความรุนแรงและนำไปสู่โรคร้ายแรงที่เราคาดคิดไม่ถึงก็ได้
อาการอันตรายของน้ำมูก มีดังนี้
- มีเลือดในเมือก หากคุณสังเกตเห็นเลือดในเมือก อาจเป็นสัญญาณของการบาดเจ็บหรือการติดเชื้อ และควรได้รับการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพโดยตรง
- ไอต่อเนื่องหรือเรื้อรัง ร่วมกับมีน้ำมูก หากคุณมีอาการไอเป็นเวลานานกว่า 2-3 สัปดาห์ มีเสมหะมากเกินไป หรือมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น เจ็บหน้าอกหรือหายใจไม่สะดวก ควรไปพบแพทย์ไม่ควรชะล่าและคิดว่าเดียวก็คงหายไปเอง
- น้ำมูกลักษณะสีเขียวหรือสีเหลือง แม้ว่าน้ำมูกที่มีสีอาจเป็นส่วนปกติของการติดเชื้อทางเดินหายใจโดยทั่วไปก็ตาม แต่น้ำมูกที่มีลักษณะสีเขียวหรือสีเหลืองที่คงอยู่ร่วมกับมีกลิ่นเหม็น อาจบ่งบอกถึงการติดเชื้อแบคทีเรียที่อาจต้องได้รับการรักษาพยาบาลอย่างถูกต้อง
- น้ำมูกสีเขียวมีกลิ่นเหม็น หากน้ำมูกของคุณมีกลิ่นแรงและไม่พึงประสงค์ อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อแบคทีเรีย ไซนัสอักเสบ หรืออาการอื่น ๆ ที่อาจต้องได้รับการดูแลอย่างตรงจุดจึงไม่ควรปล่อยไว้เป็นเวลานาน
- หายใจลำบาก หากคุณหายใจลำบาก หายใจมีเสียงหวีด หรือแน่นหน้าอกพร้อมกับมีเสมหะมากเกินไป สิ่งสำคัญคือ คูณจะต้องได้รับการวินิจฉัยอย่างถูกต้องเพื่อรับการรักษาที่ตรงจุด ไม่ควรปล่อยให้เกิดอาการเรื้อรังเพราะอาจนำไปสู่การเกิดโรคร้ายแรงได้ด้วยเช่นกัน
สรุป
แม้ว่าการที่เราป่วยแล้วมีน้ำมูกจะดูเป็นเรื่องที่ปกติ แต่อย่างไรก็ตามหากการมีน้ำมูกที่มีลักษณะผิดปกติ หรือมีน้ำมูกเรื้อรังเป็นเวลาน ควรพบแพทย์และรับการรักษาที่ถูกต้องทันที เพราะเราไม่สามารถทราบได้เลยว่าน้ำมูกที่เป็นอยู่นั้นเกิดจากอาการป่วยไข้หวัดปกติ หรือเกิดจากภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ หรือไม่