บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้เท่านั้น “ทางบริษัทไม่สามารถให้คำปรึกษาเป็นรายบุคคลได้” หากท่านมีความกังวล และต้องการคำปรึกษาเพิ่มเติม แนะนำให้พบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย
ไขมันพอกตับกับกลุ่มอาการ หรือ โรค ที่มีอัตราการอุบัติที่พบสูงขึ้นในทุก ๆ ปี ทั้งนี้โรคไขมันพอกตับ อาการในเบื้องต้นคล้ายคลึงกับความเหนื่อยล้าจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้ผู้ที่เป็นโรคดังกล่าวไม่ทราบว่ากำลังเกิดโรคนี้ขึ้นกับตนเอง จนละเลยไป แล้วทำให้โรคเกิดความรุนแรง และ ลุกลาม กลายเป็นโรคตับเรื้อรังที่เป็นสาเหตุหนึ่งของการเสียชีวิตของคนไทยในปัจจุบัน
สารบัญ
- รู้ได้อย่างไรว่าเริ่มมีอาการไขมันพอกตับ?
- ไขมันพอกตับเกิดจากอะไร?
- ใครเสี่ยงเป็นไขมันพอกตับบ้าง?
- ไขมันพอกตับอันตรายแค่ไหน? ป้องกันไขมันพอกตับได้อย่างไรบ้าง?
รู้ได้อย่างไรว่าเริ่มมีอาการไขมันพอกตับ
ไขมันพอกตับ อาการมักค่อยเป็นค่อยไป ทำให้หลายท่านไม่ทราบว่ากำลังมีภาวะดังกล่าว โดยเกิดจากการสะสมของไตรกลีเซอร์ไรด์ซึ่งเป็นไขมันในรูปแบบหนึ่งบริเวณตับ และไตรกลีเซอร์ไรด์เหล่านี้ก็เกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถเผาผลาญหรือนำไปใช้งานได้หมด สามารถสังเกตได้ชัดในช่วงวัย 50 ปีขึ้นไป เพราะอัตราการเผาผลาญที่ลดลง ส่วนไขมันพอกตับ อาการที่เด่นชัด หรือ ปรากฎให้สามารถสังเกตได้มีดังนี้
สัญญาณเตือนอาการไขมันพอกตับ
- มีอาการอ่อนเพลีย แม้จะพักผ่อนอย่างเพียงพอแล้ว แต่ก็ปรากฎอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า ทั้งช่วงเวลากลางวัน และ ช่วงเวลากลางคืน
- ขาดสมาธิ การดำเนินกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ จะเกิดความเชื่องช้า ร่วมด้วยการตัดสินใจทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ช้าลงจนสังเกตได้
- มีความผิดปกติเกี่ยวกับท้อง เริ่มด้วยอาการไม่สบายท้อง ที่มักเกิดเป็นอาการปวดท้องตามมา และอาการดังกล่าวจะเป็น ๆ หาย ๆ ไม่มีความเชื่อมโยงกับมื้ออาหารแต่อย่างใด
- การรับประทานอาหารที่เปลี่ยนไป ทั้งส่วนของความอยากรับประทานอาหารที่ลดลง แม้จะเปลี่ยนชนิดของอาหารแล้วก็ตาม นอกจากนี้ก็นำไปสู่น้ำหนักที่ลดลงกว่าปกติ และในบางรายก็มีอาการอาเจียนร่วมด้วย
ไขมันพอกตับเกิดจากอะไร ?
ไขมันพอกตับ อาการเป็นอย่างไร พอที่จะให้คุณสามารถสังเกตได้จากหัวข้อก่อนหน้าแล้ว แต่ในเมื่อทราบแล้วว่าไขมันพอตับ อาการเป็นอย่างไร ถัดมาเราจึงจะพาทุกท่านไปพบกับสาเหตุ หรือ ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคไขมันพอกตับ เพื่อให้ทุกท่านจะได้หลีกเลี่ยงหรือระมัดระวังในการใช้ชีวิตให้ห่างไกลโรคไขมันพอกตับมากขึ้น ดังนี้
สาเหตุของโรคไขมันพอกตับ
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีการศึกษาพบว่าระยะเวลา และ ปริมาณการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีผลทำให้เกิดโรคไขมันพอกตับได้สูงมาก
- อาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูง การบริโภคอาหารที่มีไขมัน และ คาร์โบไฮเดรตในปริมาณสูง แล้วไม่เกิดการเผาผลาญ ทำให้สารอาหารเหล่านี้เกิดการสะสมแล้วเป็นไขมันพอกตับ อาการปรากฎดังที่กล่าวไปเบื้องต้นได้
- ภาวะอ้วน ผู้ที่มีดัชนีมวลกาย หรือ BMI มากกว่า 25 จะเป็นผู้ที่มีภาวะน้ำหนักตัวมากเกินไป หรือ โรคอ้วน ซึ่งทำให้เกิดความเสี่ยงของการเกิดโรคไขมันพอกตับด้วย
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด ไม่ว่าจะเป็นโรคไขมันในเส้นเลือดสูง หรือ โรคเบาหวาน หรือ โรคไวรัสตับอักเสบไม่ว่าจะเป็นชนิด B หรือ C
- ผู้ที่ใช้ยาหรือรักษาโรคบางอย่าง โดยมากจะเป็นผู้ที่ต้องใช้ยาบางชนิดติดต่อกันเป็นเวลานาน อาทิเช่น การใช้ยาในกลุ่มฮอร์โมน ยาปฏิชีวนะ หรือ ยาเคมีบำบัด เป็นต้น
ใครเสี่ยงเป็นไขมันพอกตับบ้าง ?
โรคไขมันพอกตับ อาการที่ร้ายแรงต่อสุขภาพ และเป็นหนึ่งในโรคที่คร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับต้น ๆ ในปัจจุบัน แม้โรคไขมันพอกตับ อาการในแรกเริ่มจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนดูเหมือนกับอาการเหนื่อยล้าจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ แต่การป้องกันไม่ให้ตนเองเกิดโรคมักเป็นทางเลือกที่ดีกว่า โดยประเมินว่าตนเองอยู่ภายใต้กลุ่มเสี่ยงเหล่านี้หรือไม่ ได้ดังต่อไปนี้
ผู้ที่เสี่ยงมีอาการไขมันพอกตับ
- ผู้ที่มีภาวะอ้วน ส่วนนี้สังเกตได้จากดัชนีมวลกาย หรือ BMI มากกว่า 25 หรือ เพศชายที่มีรอบเอวเกินกว่า 40 นิ้ว และ เพศหญิงที่มีรอบเอวเกินกว่า 35 นิ้ว
- ผู้ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ไม่ว่าจะเป็นปริมาณน้ำตาลในเลือดที่มากกว่า 100 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หรือ ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
- ผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง เพราะมักจะเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับระดับไขมันในเส้นเลือด และ จะสืบเนื่องไปสู่ปริมาณไขมันที่ตับที่สูงกว่าปกตินั่นเอง
- ผู้ที่มีปริมาณไขมันดีต่ำ ไขมันดีในที่นี้ ก็คือ ปริมาณ HDL โดยในเพศชายต่ำกว่า 40 มิลลิกรัม/เดซิลิตร และในเพศหญิงต่ำกว่า 50 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
- ผู้ที่มีปริมาณไขมันในร่างกายสูง ไขมันที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงก็คือ ไตรกลีเซอไรด์ในเลือดที่มากกว่า 150 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
ไขมันพอกตับอันตรายแค่ไหน ?
จากเนื้อหาข้างต้น ทำให้เห็นได้ว่า โรคไขมันพอกตับ นับว่าเป็นอันตรายอย่างมากต่อสุขภาพและชีวิตของคนเราในปัจจุบัน แต่ในความโชคร้ายนั้นยังคงมีความโชคดีอยู่บ้าง ถ้าหากโรคไขมันพอกตับสามารถตรวจเจอในระยะเริ่มต้น โรคไขมันพอกตับ อาการเหล่านี้ก็สามารถรักษาได้ โดยสามารถแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ดังนี้
ระยะอาการโรคไขมันพอกตับ
- ระยะที่ 1 มีไขมันปริมาณมาก ซึ่งสามารถใช้วิธีลดไขมันพอกตับเพื่อรักษาและลดความรุนแรงได้
- ระยะที่ 2 เกิดการอักเสบร่วมด้วย
- ระยะที่ 3 เกิดพังผืดที่ตับ กลายเป็นโรคตับเรื้อรัง
- ระยะที่ 4 ลุกลามรุนแรงจนเป็นมะเร็งตับ
ป้องกันไขมันพอกตับได้อย่างไรบ้าง ?
โรคร้ายอย่างไขมันพอกตับ อาการที่นับวันจะเริ่มกัดกินตับของเราจนกลายเป็นมะเร็งตับในที่สุด ดังนั้นการป้องกันโรคร้ายที่ได้ผลดีที่สุดนั่นก็คือ การใช้ชีวิตประจำวันของตนอย่างระมัดระวัง ทั้งส่วนของการบริโภคอาหาร การออกกำลัง การพักผ่อน รวมถึงการดูแลจิตใจและการตรวจสุขภาพประจำปีด้วย
สรุป
ไขมันพอกตับ อาการที่ยิ่งคุณสามารถสังเกต และ แพทย์สามารถวินิจฉัยได้เร็วเท่าไร การลุกลาม และ ความอันตรายก็จะลดลงเป็นเท่าตัว เราจึงเห็นได้ว่าระยะเวลา หรือ ระยะการเกิดโรคกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้คุณสามารถพิชิตโรคร้ายโรคนี้ได้ ดังนั้นเพื่อเป็นการเฝ้าระวังและป้องกันตนเองให้ห่างไกลจากอาการไขมันพอกตับ คุณก็สามารถใช้เคล็ดลับดี ๆ จากบทความข้างต้นมาเป็นหนึ่งในตัวช่วยของคุณได้