บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้เท่านั้น “ทางบริษัทไม่สามารถให้คำปรึกษาเป็นรายบุคคลได้” หากท่านมีความกังวล และต้องการคำปรึกษาเพิ่มเติม แนะนำให้พบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย
นับเป็นข่าวดังในวงการบันเทิง กับการสูญเสียนักแสดงชื่อดัง “คุณเมฆ วินัย ไกรบุตร” จากโรคตุ่มน้ำพอง หรือโรคเพมฟิกอยด์ ซึ่งรักษาตัวมานานกว่า 5 ปี และเสียชีวิตลงในวัย 54 ปี จึงทำให้คนไทยให้ความสนใจกับโรคตุ่มน้ำพองมากขึ้น ด้วยชื่อที่ดูเหมือนไม่ใช่โรคที่ร้ายแรง แต่กลับคร่าชีวิตคนสำคัญในวงการบันเทิงไทยลงได้อย่างน่าใจหาย บทความนี้จึงชวนทุกท่านไปรู้จักกับโรคตุ่มน้ำพอง ทั้งสาเหตุ การเช็กอาการ แนวทางการรักษาและป้องกันค่ะ
สารบัญ
- โรคตุ่มน้ำพอง เกิดจากอะไร?
- โรคตุ่มน้ำพอง อาการเป็นอย่างไร?
- วิธีรักษาโรคตุ่มน้ำพอง
- แนวทางการดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคตุ่มน้ำพอง
- สรุป โรคตุ่มน้ำพองใส ภัยที่ต้องระวัง
โรคตุ่มน้ำพอง เกิดจากอะไร?
โรคตุ่มน้ำพอง หรือโรคเพมฟิกอยด์ (Bullous Pemphigoid) เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย หรือภูมิเพี้ยน ที่ไปทำลายโครงสร้างผิวหนัง จนทำให้เซลล์ผิวหนังหลุดออกจากกัน ผิวภายนอกจึงเห็นเป็นตุ่มน้ำพองใส และเป็นแผลถลอก ซึ่งปัจจุบันยังไม่สามารถระบุปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคนี้ได้อย่างแน่ชัด แต่สันนิษฐานว่า อาจเกิดจากการติดเชื้อหรือสารเคมีบางอย่าง นับเป็นโรคผิวหนังเรื้อรังที่พบได้ไม่บ่อยมาก พบได้ประมาณ 3 คนในแสนคน
โรคตุ่มน้ำพอง พบได้ตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้สูงอายุ (พบมากในกลุ่มสูงอายุ) ซึ่งโรคตุ่มน้ำพองนี้ไม่ใช่โรคติดต่อจึงสามารถเข้าใกล้ผู้ป่วยได้ ทั้งโรคนี้ยังสามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยปกติไม่ได้ร้ายแรงหรือรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิต แต่หากมีการติดเชื้อในกระแสเลือดหรือมีภาวะแทรกซ้อน ก็อาจส่งผลให้ผู้ป่วยถึงขั้นเสียชีวิตได้
อย่างในกรณีของโรคคุณวินัย ไกรบุตร สาเหตุการเสียชีวิตนั้น เกิดจากการติดเชื้อในกระแสเลือด และมีภาวะความดันโลหิตต่ำหรือความดันตก จนเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณวินัย ไกรบุตรเสียชีวิต จะเห็นได้ว่าโรคนี้ถึงภายนอกจะดูเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับผิวหนัง แต่ในความเป็นจริงแล้วส่งผลกระทบไปถึงระบบสำคัญภายใน ดังนั้น เมื่อสงสัยว่าป่วย ควรไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและหาสาเหตุโดยเร็ว
โรคตุ่มน้ำพอง อาการเป็นอย่างไร?
จุดสำคัญในการเฝ้าระวังโรคนี้ คือการหมั่นสังเกตสุขภาพผิวหนังว่ามีความผิดปกติหรือไม่ เพราะโรคตุ่มน้ำพอง ถึงจะเกิดจากภูมิคุ้มกันภายในที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าก็จริง แต่จะแสดงอาการเตือนออกมาให้เห็นผ่านผิวหนัง ดังนั้น ลองตรวจเช็กอาการของตนเองว่ามีอาการเหล่านี้ไหม หากพบว่ามีและน่าสงสัยที่จะเป็น แนะนำให้รีบไปพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจวินิจฉัย
อาการโรคตุ่มน้ำพอง
- เริ่มจากพบรอยผื่นแดง คัน ที่บริเวณผิวหนัง
- มีตุ่มน้ำใสพอง ขึ้นตามร่างกาย โดยตุ่มพองจะแตกง่ายและมีน้ำใส ๆ ออกมา หรือหากเกิดการติดเชื้อแล้วอาจเป็นหนอง มีกลิ่นเหม็น
- พบตุ่มพองมากบริเวณศีรษะ หน้าท้อง หน้าอก ทั้งยังพบตุ่มใสได้ตามเยื่อบุภายใน เช่น ในช่องปาก (พบมากที่เพดานและเยื่อบุแก้ม) ช่องคลอด ทางเดินหายใจ ฯลฯ
- ตุ่มพองที่แตก จะกลายเป็นแผลถลอกและสะเก็ดเป็นวงกว้าง ดูคล้ายถูกน้ำร้อนลวก
- บริเวณแผลถลอกจะมีความรู้สึกเจ็บปวดหรือแสบ
- ผู้ป่วยบางคนมีภาวะกลืนลำบาก และเสียงแหบพร่า
- หากเกิดการติดเชื้อในระบบกระแสเลือด ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ความดันต่ำ และอาจเสียชีวิตได้
- ถ้าหายจากโรคนี้แล้วจะไม่เป็นแผลเป็น แต่จะทิ้งรอยดำไว้บนผิวในช่วงแรก ๆ แล้วก็จะจางไป
วิธีรักษาโรคตุ่มน้ำพอง
โรคตุ่มน้ำพอง หรือโรคเพมฟิกอยด์ สามารถรักษาให้หายได้ แต่ขึ้นอยู่กับความรุนแรงมาก-น้อยของอาการที่เป็น ซึ่งมีทั้งการกินยาและรักษาผิวหนัง ดังนั้น หากพบว่าป่วยไม่ควรหาแนวทางรักษาด้วยตนเอง เพราะอาจจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้สูง ควรไปพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อหาวิธีการรักษาที่ถูกต้อง ก็จะทำให้ยิ่งมีโอกาสในการรักษาให้หายได้สูง โดยวิธีการรักษาส่วนใหญ่จะมีดังนี้
การรักษาโรคตุ่มน้ำพองใสโดยแพทย์
- ให้ยากดภูมิ ร่วมกับยาแก้อักเสบ เพื่อควบคุมโรค หรืออาจให้ยาที่จะช่วยเปลี่ยนการทำงานของเซลล์ผิวหนัง ลดการเกิดตุ่มพอง อย่างไรก็ตามระยะเวลาในการรักษาโดยใช้ยาจะหายช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับผู้ป่วยแต่ละบุคคล
- รักษาแผลภายนอกด้วยวิธีที่ถูกต้อง และเฝ้าระวังการติดเชื้อของแผลและโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ
- หากผู้ป่วยที่มีภาวะกลืนลำบากหรือกินอาหารไม่ได้ แพทย์จะพิจารณาให้ให้อาหารทางสายเป็นการทดแทน
แนวทางการดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคตุ่มน้ำพอง
นอกจากการรักษาทางการแพทย์แล้ว ผู้ป่วยโรคตุ่มน้ำพองหรือผู้ดูแลก็จำเป็นจะต้องดูแลตนเองด้วย โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ไม่ได้เข้าข่ายรุนแรง แพทย์อาจพิจารณาให้รักษาตัวที่บ้าน จึงจำเป็นต้องรู้แนวทางในการดูแลตนเองให้อาการดีขึ้น และลดการเสี่ยงติดเชื้อรุนแรง
- ทำความสะอาดร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณบาดแผลด้วยน้ำเกลือ
- ไม่ใช้ยาพ่น หรือยาพอกผิว ที่มีความระคายเคืองหรือมีสารอันตราย
- ห้ามเกาหรือแกะแผลตามผิวหนัง
- หลีกเลี่ยงสิ่งที่จะระคายเคืองผิวหนัง เช่น การใส่เสื้อผ้ารัดรูป อยู่กลางแสงแดดจัด
- เลือกกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพและรสไม่จัด และงดการกินอาหารแข็ง ๆ ของขบเคี้ยว เพราะอาจทำให้เยื่อบุภายในช่องปากลอกหนัก
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ห้ามหักโหมหนักเกินไป และไม่ออกกำลังกายกลางแจ้ง
- พักผ่อนให้เพียงพอ พยายามไม่เครียดเพราะอาจกระตุ้นอาการให้แย่ลงได้
- กินยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ไม่หยุดยาหรือเพิ่ม-ลดยาเอง
- หากต้องกินยากดภูมิ ร่างกายจะอ่อนแอ ดังนั้น ไม่ไปสถานที่ที่มีความแออัด ผู้ดูแลพยายามหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดผู้ป่วย เพราะอาจทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อได้
- หากผู้ป่วยพบอาการผิดปกติ เช่น ปวดท้อง อุจจาระสีดำ อ้วกเป็นเลือด หรือโรคประจำตัวอื่น ๆ กำเริบให้รีบมาพบแพทย์โดยเร็ว
- หากยังไม่หายจากโรค ไม่ควรตั้งครรภ์ เพราะยารักษาที่กินจะส่งผลกับทารกในครรภ์
- มาพบแพทย์ตามนัดเสมอ หมั่นเช็กอาการตนเองเป็นประจำ
สรุป โรคตุ่มน้ำพองใส ภัยที่ต้องระวัง
หากถามว่า โรคตุ่มน้ำพอง หรือโรคเพมฟิกอยด์ อันตรายถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้เลยเหรอ? ต้องบอกเลยว่า โดยปกติแล้วไม่ได้มีอัตราที่เสียชีวิตจากโรคนี้สูงมากนัก โดยปกติจะสามารถรักษาให้หายได้ แต่ในผู้ป่วยบางรายอาการก็มีความรุนแรงมาก สาเหตุส่วนใหญ่ที่เสียชีวิตมักมาจากการติดเชื้อในกระแสเลือด พร้อมอาการแทรกซ้อนต่าง ๆ ดังนั้น หากพบว่าป่วยแล้วรีบเข้ารับการรักษาโดยเร็ว ก็จะเพิ่มโอกาสหายจากโรคนี้ได้สูง