หลายคนมองว่าเบาหวานไม่ใช่โรคที่น่ากลัว มีคนเป็นมากมายไม่เห็นจะเป็นอะไร แต่รู้ไหมคะว่า? เมื่อเป็นเบาหวานแล้ว ไม่สามารถรักษาให้หายขาด ได้ทำได้เพียงแค่ควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์ปกติเท่านั้น และเมื่อเป็นแล้วยังส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้อ่อนแอลง ยิ่งตอนนี้ที่โรคโควิด-19 กำลังแพร่ระบาด ผู้ป่วยเบาหวานยังมีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อและเสียชีวิตสูง และเพื่อลดความเสี่ยงนั้น ALLWELL ก็มี วิธีคุมเบาหวาน และวิธีลดระดับน้ำตาลในเลือด ด้วยตัวเองให้อยู่หมัดมาฝากกันค่ะ
ผู้ป่วยเบาหวานเสี่ยงติดเชื้อและเสียชีวิต เป็นอันดับ 2 จากการติดเชื้อโรคโควิด-19
สารบัญเนื้อหา
วิธีคุมเบาหวาน ด้วยการเลือกทาน
ผู้ป่วยเบาหวาน หลายคนมักจะละเลยเรื่องอาหารการกิน เพราะคิดว่าเดี๋ยวกินยาก็หายแล้ว ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด! เพราะเบาหวานเป็นโรคเรื้อรัง ที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ หากหวังพึ่งยาแต่ไม่ควบคุมอาหาร อาจส่งผลเสียต่อร่างกาย เพราะฉะนั้นผู้ป่วยเบาหวานต้องรู้จักควบคุมระดับน้ำตาลของตนเองให้คงที่ โดยวิธีคุมเบาหวาน และวิธีลดระดับน้ำตาลในเลือด ทำได้ไม่ยากด้วยการเลือกทานอาหาร
อาหารผู้ป่วยเบาหวานแบ่งเป็น 3 ประเภท
- น้ำตาลทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลทราย น้ำตาลอ้อย น้ำตาลก้อน น้ำตาลปี๊ป หรือแม้กระทั่งน้ำผึ้ง เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเป็นส่วนผสม เช่น น้ำอัดลม ชานมไข่มุก รวมไปถึงขนมหวานต่าง ๆ เช่น โดนัท
- ผลิตภัณฑ์ประเภทนม นมข้นหวาน นมเปรี้ยว นมปรุงแต่งรสหวาน โยเกิร์ตปรุงแต่งรสหวาน
- ผลไม้แช่อิ่ม ผลไม้เชื่อม ผลไม้กวน เช่น มะม่วงกวน กล้วยตาก พุทราเชื่อม รวมไปถึงผลไม้เชื่อมบรรจุกระป๋อง
- อาหารที่ปรุงด้วยไขมันอิ่มตัว เช่น แกงกระทิ หมูสามชั้น น้ำมันมะพร้าว ไขมันสัตว์ เนย ครีม ไขมันนม เป็นต้น
อาหารเหล่านี้ล้วนแต่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลัก ไม่เหมาะสมกับผู้ป่วยเบาหวาน เพราะจะทำให้ระดับน้ำตาลสูงขึ้นอย่างรวดเร็วอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้
ผู้ป่วยเบาหวานควรตรวจระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ
สั่งซื้อเครื่องวัดน้ำตาลในเลือด Click!!! จัดส่งฟรีทั่วประเทศ!
2. อาหารที่ทานได้แต่ต้องจำกัดปริมาณ
- อาหารประเภทแป้ง เช่น ข้าว ขนมปัง เส้นก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ อาหารเหล่านี้จะถูกย่อยเปลี่ยนให้เป็นน้ำตาล ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานสำคัญของร่างกาย จึงไม่ควรงดหรือจำกัดมากเกินไป ควรทานให้เหมาะสมและพอดี หากจำกัดมากเกินไป อาจส่งผลให้ระดับน้ำตาลต่ำ และทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้
- ผลไม้ เนื่องจากผลไม้แต่ละชนิด มีปริมาณของคาร์โบไฮเดรตต่างกัน และคาร์โบไฮเดรตในผลไม้มักมาในรูปแบบน้ำตาล บางชนิดมีน้ำตาลมาก บางชนิดมีน้ำตาลน้อย ผลไม้ที่มีรสหวาน เมื่อทานไปจะส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ผู้ป่วยเบาหวานจึงควรเลี่ยงทานผลไม้ที่มีรสหวานจัด
ผลไม้ที่เหมาะสมกับผู้ป่วยเบาหวาน
- แอปเปิ้ล มีเส้นใย Pectin สูง ช่วยดักจับไขมัน ลดระดับน้ำตาลและไขมันในลือด ลดความเสี่ยงที่ระดับน้ำตาลจะพุ่งสูง ปริมาณที่แนะนำ คือ 1 ลูกเล็ก หลังอาหาร 1 มื้อ
- ฝรั่ง เป็นผลไม้ที่มีรสหวานน้อย แคลอรีต่ำและมีเส้นใยสูง ปริมาณที่แนะนำ คือ 1 ผลเล็ก หรือครึ่งผลใหญ่ หลังทานอาหาร ไม่ควรทานกับ พริก เกลือ น้ำตาล
- กล้วย ช่วยให้การดูดซึมน้ำตาลเป็นไปอย่างช้า ๆ มีเส้นใยสูง ทำให้อิ่มนาน ทานเป็นอาหารว่างได้ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ปริมาณที่แนะนำ คือ ครึ่งผลต่อมื้อ หากเป็นกล้วยไข่ กล้วยน้ำว้า สามารถทานได้ 1 ผลเต็ม
- ผลไม้ตระกูลเบอรรี เช่น สตรอว์เบอร์รี เชอร์รี บลูเบอร์รี เพราะอุดมไปด้วยวิตามิน ไฟเบอร์ มีสารต้านอนุมูลอิสระ และยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานได้ ปริมาณที่แนะนำ คือ มื้อละ 12 ผล
- แก้วมังกร มีวิตามิน และแร่ธาตุมากมายหลายชนิด แคลอรี่ต่ำและมีเส้นใยสูง และยังมีสรรพคุณช่วยรักษาโรคเบาหวานได้ ปริมาณที่แนะนำ คือ 10 – 12 คำต่อมื้อ
*หมายเหตุ* ผลไม้เหล่านี้ควรทานแบบสด ๆ ไม่ควรทานที่ผ่านกระบวนการถนอมอาหาร หรือแปรรูปมาแล้ว
ผลไม้ที่ผู้ป่วยเบาหวานควรเลี่ยง
มะม่วงสุก ทุเรียน ละมุด ลำไย องุ่น เงาะ ลิ้นจี่ ขนุน น้อยหน่า มะขามหวาน และผลไม้ที่มีรสหวานจัดต่าง ๆ รวมไปถึงผลไม้แปรรูปด้วย เพราะผลไม้เหล่านี้เมื่อทานเข้าไปแล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลพุ่งสูง
3.อาหารที่ทานได้ไม่จำกัดปริมาณ
- ผักใบเขียว เนื่องจากผักมีแคลอรี่ต่ำ และมีใยอาหารสูง ทำให้ดูดซึมน้ำตาลได้ช้า และใยอาหารในผักยังช่วยดูดซับพลังงาน จากน้ำตาลไม่ให้เข้าสู่กระแสเลือดเร็วจนเกินไป ทำให้ร่างกายสามารถดึงพลังงานจากน้ำตาลไปใช้ได้อย่างพอดี ยกตัวอย่างเช่น
- ตำลึง ทีมผู้วิจัยจากคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาด ได้ทำการค้นคว้าแล้วพบว่าตำลึงมีประสิทธิภาพในการลดระดับน้ำตาลในเลือดได้
- มะระขี้นก มีสาร charantin ซึ่งมีฤทธิ์ต้านเบาหวาน กระตุ้นการหลั่งอินซูลินและยับยั้งการสร้างกลูโคส
- ฟักทอง ในงานวิจัยหนึ่งบอกว่าฟักทองมีน้ำตาลโพลีแซ็กคาไรด์ที่ตรึงอยู่กับโปรตีนภายใน มีฤทธิ์ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้
- ชะพลู ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
- กะเพรา มีสารลดระดับน้ำตาลในเลือด ยับยั้งการเกาะกันของเกร็ดเลือด ช่วยลดไขมันในเลือด
- ว่านหางจระเข้ มีสารประเภท glycoprotein ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
และยังมีผักอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ผักเชียงคา ยอดข้าวโพด ใบฟักข้าว ผักกาดน้ำ ดอกกระเจียว ใบบัวบก เป็นต้น
องค์การอนามัยโลก ได้กำหนดปริมาณให้บริโภคผักและผลไม้ อย่างน้อย 400 กรัม ต่อวัน หากเป็นผักต้มสุกจะต้องเพิ่มเป็น 2 เท่า
เป้าหมายการควบคุมระดับน้ำตาลของผู้เป็นเบาหวาน
- ระดับน้ำตาลก่อนทานอาหาร 90-130 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
- ระดับน้ำตาลหลังทานอาหาร 2 ชั่วโมง น้อยกว่า 180 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
- ระดับน้ำตาลสะสม (HbA1c) น้อยกว่าหรือเท่ากับ 7%
พิชิตเบาหวานด้วยสูตรอาหาร
แนวทางการจัดตารางเมนูอาหาร ที่มีความสมดุลทางโภชนาการ ร่วมกับพลังงานที่ควรได้รับในแต่ละวัน โดยเลือกวัตถุดิบจากแต่ละกลุ่มมาประกอบเมนูอาหารที่เหมาะสมกับผู้ป่วยเบาหวานทั้ง 3 มื้อ/วัน เพื่อความคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้สูงและมีพลังงานเพียงพอในการใช้ชีวิตที่มา:mgronline
- คาร์โบไฮเดรต 18 กรัม โปรตีน 2 กรัม เช่น เผือก มัน หรือพืชผักที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง ถั่วต่างๆ (ไม่รวมถั่วเหลือง)
- คาร์โบไฮเดรต 20 กรัม ผลไม้ เช่น แก้วมังกร กล้วย
- โปรตีน 9 กรัม ไขมัน 5 กรัม เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ ปลา หรือผลิตภัณฑ์จากนมถั่วเหลือง
- คาร์โบไฮเดรต 6 กรัม โปรตีน 4 กรัม ไขมัน 5 กรัม นมและผลิตภัณฑ์จากนม
- ไขมัน 9 กรัม ผลิตภัณฑ์จากไขมัน
- คาร์โบไฮเดรต 13 กรัม โปรตีน 5 กรัม ผัก เห็ด หรือสาหร่าย
สิ่งที่ผู้ป่วยเบาหวานควรทำเป็นประจำ
การปรับพฤติกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ก็นับเป็นวิธีคุมเบาหวาน และเป็นวิธีลดระดับน้ำตาลในเลือด ที่ได้ผลดีเช่นกัน โดยปฏิบัติตามนี้
1. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายจะช่วยลดภาวะดื้ออินซูลิน ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงาน ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลงลงได้อย่างต่อเนื่อง หากผู้ป่วยเบาหวานหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยให้สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. จิบน้ำบ่อย ๆ การปล่อยให้ตัวเองรู้สึกกระหายน้ำมากเกินไปจะทำให้อยากดื่มน้ำหวานเพื่อเพิ่มความสดชื่น ดังนั้นการดื่มน้ำเปล่ามากๆ จิบน้ำบ่อยๆ จะช่วยให้ร่างกายได้รับความชุ่มชื้นจากการดื่มน้ำช่วยให้ตับขับน้ำตาลส่วนเกินออกไปทางปัสสาวะ และยังเป็นการป้องกันไม่ให้ระดับน้ำตาลพุ่งสูงขึ้น
3. ห้ามเครียด เพราะความเครียดเป็นอีกหนึ่งปัจจัยกระตุ้นระดับน้ำตาลให้สูงขึ้น เมื่อเกิดความเครียด ฮอร์โมนคอร์ติซอ ฮอร์โมนที่ทำให้อยากของหวาน และฮอร์โมนกลูคากอน ที่ทำหน้าที่เผาพลาญคาร์โบไฮเดรต เพิ่มกลูโคสในกระแสเลือดจะหลั่งออกมามากกว่าปกติ ส่งผลให้ระดับน้ำตาลสูงขึ้นเฉียบพลัน จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงไม่ควรเครียด
4. แบ่งทานเป็นมือเล็ก ๆ แต่บ่อยขึ้น การทานอาหารมื้อใหญ่อาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้ร่างกายได้รับน้ำตาลจากอาหารมากเกินไป ทำให้ระดับน้ำตาลสูงขึ้นได้ง่าย เพื่อเป็นการป้องกันระดับน้ำตาลสูง ให้แบ่งทานอาหารเป็นมื้อย่อยๆ 5 – 6 มื้อ ในปริมาณที่น้อยลง แต่ก็ทานบ่อยขึ้น
5. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หากร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดแกว่ง ส่งผลให้รู้สึกอยากของหวาน เพื่อทำให้ร่างกายสดชื่นทำให้เสี่ยงต่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงและเสี่ยงภาวะอ้วน
6. ควบคุมน้ำหนัก ความอ้วนเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ความอ้วนที่เกิดจากการทานคาร์โบไฮเดรตและไขมันมากเกินไป ส่งผลกระทบต่ออินซูลินในร่างกาย ทำให้ร่างกายเกิดภาวะดื้ออินซูลิน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง การลดน้ำหนักจึงเป็นวิธีที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลไม่ให้สูง และช่วยให้อินซูลินทำงานได้ดีขึ้น
7. ตรวจวัดระดับน้ำตาล การตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดอยู่เป็นประจำ จะช่วยให้เราสามารถทราบระดับน้ำตาลในเลือดของตนเองว่าสูงหรือต่ำเกินไปหรือไม่ และยังเป็นวิธีที่ช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานสามารถดูแลตัวเองได้อย่างถูกวิธีมากขึ้น และป้องกันอันตรายจากระดับน้ำตาลสูง
8. คุมพลังงาน ควบคุมพลังงานให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน ค่าความต้องการในแต่ละวัน มีค่าประมาณ 30 – 35 กิโลแคลอรี่/น้ำหนักตัวมาตรฐาน 1 กิโลกรัม หากเป็นผู้ที่มีภาวะอ้วนร่วมด้วย พลังงานที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันอาจลดเหลือ 20 – 25 กิโลแคลอรี่/น้ำหนักตัวมาตรฐาน 1 กิโลกรัม
สรุป
เนื่องจากโรคเบาหวาน เป็นโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ การใช้ยาเพียงอย่างเดียว จึงไม่สามารถควบคุมเบาหวานได้ ดังนั้น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหาร รู้จักเลือกทานให้เหมาะสม จึงเป็นอีก วิธีคุมเบาหวาน และป้องกันไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้